Microsoft เตือน 10 อาชีพ AI จ่อแย่งงานเร็วที่สุด ล่ามนักแปลโดนก่อน
ก่อนหน้านี้มีผลวิจัยและผลสำรวจหลายชิ้นออกมาเปิดเผยถึงอาชีพที่เสี่ยงโดน AI แย่งงาน แต่ที่ผ่านมามีน้อยครั้งที่อาชีพในสายงานภาคบริการจะติดโผ เพราะส่วนใหญ่ยังคงต้องใช้แรงงานมนุษย์ แต่รายงานใหม่ล่าสุดจากMicrosoft กลับเผยว่า อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงจากการเข้ามาของ AI กว่า 50% เป็น "สายงานบริการลูกค้า" ขณะที่อาชีพที่อาจโดน AI แทนที่ก่อนใครก็คือ "ล่ามและนักแปลภาษา"
ด้านผู้เชี่ยวชาญแนะนำวัยทำงานยุคนี้ว่า ต้องเรียนรู้การใช้ AI และพัฒนาทักษะมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่ AI ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนแค่ในแง่การหาข้อมูล พูดคุยกับเพื่อน หรือจัดการตารางชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังอาจเปลี่ยนกระบวนการทำงานของคุณ หรือแม้แต่อาจทำให้ตำแหน่งงานนั้นๆ หายไปเลยก็ได้
จากการวิจัยหัวข้อ "Working with AI: Measuring the Occupational Implications of Generative AI" ของ Microsoft ได้วิเคราะห์การใช้ AI ในงานอาชีพต่างๆ และประเมินว่า มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดที่งานของมนุษย์จะถูกแทนที่ด้วย AI โดยเก็บข้อมูลจากการสนทนา 200,000 ครั้ง ระหว่างผู้ใช้ในสหรัฐฯ กับ Bing Copilot ระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2024 และรายงานผลเมื่อเดือน ก.ค. 2025
ผลการวิเคราะห์นักวิจัยพบว่า กิจกรรมที่พนักงานมักใช้ AI ช่วยทำงานมากที่สุดคือ การค้นหาข้อมูลและการเขียน ส่วนงานที่ AI สามารถทำได้ด้วยตัวเองบ่อยที่สุด ได้แก่ การให้ข้อมูล การให้คำแนะนำ การเขียน การสอน และการให้คำปรึกษา
เปิดโผ 10 อาชีพ เสี่ยงโดน AI แทนที่มากสุด
ทั้งนี้ ในรายงานได้วิเคราะห์และสรุปข้อมูลออกมาว่า มี 10 อาชีพที่เสี่ยงโดน AI แทนที่ได้รวดเร็วกว่าอาชีพอื่นๆ ได้แก่
อันดับ 1 ล่ามและนักแปล (Interpreters and Translators)
อันดับ 2 นักประวัติศาสตร์ (Historians)
อันดับ 3 พนักงานต้อนรับผู้โดยสาร (Passenger Attendants)
อันดับ 4 พนักงานบริการด้านการขาย (Sales Representatives of Services)
อันดับ 5 นักเขียน นักประพันธ์ (Writers and Authors)
อันดับ 6 พนักงานบริการลูกค้า (Customer Service Representatives)
อันดับ 7 โปรแกรมเมอร์ควบคุมเครื่องจักร CNC (Computer Numerical Controller Tool Programmers)
อันดับ 8 พนักงานรับโทรศัพท์ (Telephone Operators)
อันดับ 9 พนักงานจำหน่ายตั๋วและเจ้าหน้าที่ท่องเที่ยว (Ticket Agents and Travel Clerks)
อันดับ 10 ผู้ประกาศข่าวและดีเจวิทยุ (Broadcast Announcers and Radio DJs)
Microsoft ระบุว่า ล่ามและนักแปลอยู่ในอันดับ 1 โดย 98% ของกิจกรรมการทำงาน ทับซ้อนกับงานที่ Copilot สามารถทำได้สำเร็จในระดับสูง ขณะที่อาชีพอื่นที่มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ได้แก่ กลุ่มสายงานนักเขียน นักตัดต่อเนื้อหา งานขาย บริการลูกค้า โปรแกรมมิ่ง(เฉพาะบางกลุ่ม) และงานธุรการ
สายงานแพทย์-งานช่าง อาชีพที่ปลอดภัยจาก AI
ในทางกลับกัน อาชีพที่ปลอดภัยจาก AI มากที่สุดมักเป็นสายงานด้านการแพทย์และสายงานช่าง เพราะเป็นสายงานที่ต้องใช้ทักษะเชิงปฏิบัติ เช่น เจ้าหน้าที่เจาะเลือด (Phlebotomists) ผู้ช่วยพยาบาล วิศวกรเรือ และช่างซ่อมยางรถ ฯลฯ
แม้รายงานฉบับนี้จะไม่ได้หมายความว่า “หุ่นยนต์จะมาแย่งงานมนุษย์ในวันพรุ่งนี้” หรือมาแย่งงานแบบทันทีทันใด แต่ “เจนเซน หวง” (Jensen Huang) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท Nvidia เตือนว่า ทุกสายอาชีพจะได้รับผลกระทบจาก AI อย่างรวดเร็ว และคนที่ใช้งาน AI เป็น ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะได้เปรียบคนที่ใช้งาน AI ไม่เป็น
ปัจจุบันหลายบริษัท เช่น Shopify, Duolingo และ Fiverr เริ่มกำหนดให้พนักงานบางส่วนหรือทั้งหมดต้องใช้ AI ในการทำงาน โดยซีอีโอของ Duolingo และ Shopify ยังยืนยันว่า จะเพิ่มจำนวนพนักงานเฉพาะตำแหน่งที่ไม่สามารถทำงานแทนด้วย AI ได้ ขณะที่ตำแหน่งงานไหนที่ใช้ AI ทำแทนได้ก็อาจไม่ต้องการแรงงานมนุษย์อีกต่อไป
อยากชนะ AI วัยทำงานต้องฝึก Soft Skills คู่กันไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีทักษะหลายอย่างที่ AI ยังทำแทนคนไม่ได้ (มักเป็น Soft Skills) เช่น ทักษะความเห็นอกเห็นใจ (Empathy), ทักษะความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity), ทักษะทางสังคมและอารมณ์, ทักษะภาวะผู้นำ และทักษะการสร้างความสัมพันธ์
โรเบิร์ต อี. ซีเกล (Robert E. Siegel) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บอกว่า “การปฏิวัติโลกการทำงานจาก AI เกิดขึ้นจริงแล้วตอนนี้ และแทนที่จะกลัวมัน เราควรมองว่าเป็นโอกาสในการพัฒนาและเติบโต”
เขาแนะนำทิ้งท้ายไว้ว่า การพัฒนา Soft Skills เหล่านี้ ควรทำควบคู่ไปกับการเรียนรู้ AI จะทำให้คนทำงานไม่เพียงแค่เอาตัวรอดได้ แต่ยังสามารถถเติบโตในสายอาชีพท่ามกลางยุคปัญญาประดิษฐ์ไปพร้อมกันด้วย
อ้างอิง: CNBC Make it, Microsoft Research