เปิดนาทีเขมรกว่า 100 ชีวิต ลุกฮือ ตะโกนรื้อรั้วลวดหนาม ! กดดันทหารไทย
เปิดนาทีกลุ่มชาวบ้านเขมรลุกฮือ เกณฑ์คนกว่า 100 ชีวิต ตะโกนรื้อรั้วลวดหนามพยายามกดดันทหารไทย ที่พื้นที่บ้านหนองจาน กองทัพบกยันแล้วเขตไทย แต่ชุมชนกัมพูชาลี้ภัยสงครามอยู่กันจนละเมิด MOU 43 แม้ท้วงติงมาตลอด
วานนี้ (17 ส.ค.68) เพจ Army Military Force ได้เผยแพร่ภาพเหตุการณ์ขณะที่กลุ่มคนชาวกัมพูชาจำนวนเกินกว่า 100 ราย พยายามเข้ามากดดันทหารของไทยตามแนวชายแดนที่กำลังเป็นประเด็นพิพาทกันอยู่ โดยเนื้อหาระบุว่า “เขมรประท้วงให้ทหารไทยเอารั้วลวดหนามออก” (ดูคลิป)
สำหรับปัญหาที่ชายแดนสระแก้ว ณ เวลานี้ ทหารยังคงช่วยกันขึงรั้วลวดหนามหีบเพลงแนวชายแดนในอธิปไตยไทยตามหลักเพื่อป้องกันไม่ให้กัมพูชารุกล้ำ
หลังจาก เมื่อเวลา 13.00 น. ของวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา บริเวณจุดผ่านแดนบ้านหนองจาน ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เกิดความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เมื่อชาวกัมพูชาจำนวนหลายสิบคนออกมารวมตัวชุมนุมและกดดันเจ้าหน้าที่ทหารไทย มีการตะโกนเรียกร้องให้ฝ่ายไทยทำการรื้อถอนรั้วลวดหนามหีบเพลงที่ปิดกั้นทางเข้าออกของหมู่บ้าน โดยรั้วลวดหนามดังกล่าวถูกฝ่ายทหารไทยขึงกั้นเพิ่มเติมเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุความไม่เข้าใจระหว่างสองฝ่ายเกี่ยวกับเส้นเขตแดนและเส้นทางเข้าออกหมู่บ้าน เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงการเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อความมั่นคง
ทหารไทยยืนยันว่าการดำเนินการอยู่ภายในเขตแดนไทยอย่างถูกต้อง ขณะที่ชาวกัมพูชาที่ออกมาประท้วง อ้างว่ารั้วลวดหนามทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้เส้นทางเข้าออกได้สะดวก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่สองฝั่งชายแดน จึงรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยกเลิกรั้วดังกล่าว
ขณะเดียวกัน บรรยากาศในพื้นที่เป็นไปอย่างตึงเครียด ซึ่งมีทหารไทยจากกองกำลังบูรพา และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนลงพื้นที่ควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งพยายามเจรจาเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุบานปลาย นอกจากนี้มีรายงานว่าทางการกัมพูชาส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองมาสังเกตการณ์และให้กำลังใจชาวบ้าน แต่จนถึงช่วงบ่ายยังไม่มีการรื้อถอนรั้วลวดหนามตามที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง โดยสถานการณ์ดังกล่าวยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ใน จ.สระแก้ว มีความเปราะบางต่อปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย แรงงานผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ แถลงล่าสุดจากกองทัพบกวันนี้ (18 ส.ค.) ยืนยันว่าพื้นที่บ้านหนองจานนั้นอยู่ในเขตประเทศไทย เดิมเคยเป็นที่ช่วยเหลือชาวกัมพูชาลี้ภัยจากการสู้รบชั่วคราว ภายหลังพบมีการขยายชุมชน ละเมิด MOU43 แม้ฝ่ายไทยมีการประท้วงอย่างต่อเนื่อง
จากกรณีที่มีชาวกัมพูชาได้ออกมาร้องเรียนเรื่องการวางรั้วลวดหนามของทหารไทยบริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว โดยกล่าวอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของตนนั้น พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวเป็นอาณาเขตของประเทศไทย ซึ่งอยู่บริเวณบ.หนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว รอยต่อแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 โดยบริเวณดังกล่าวมีประเด็นปัญหา แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ ที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาไม่สามารถตกลงที่ตั้งหลักเขตแดนได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าตำแหน่งหลักเขตที่ปรากฏในปัจจุบัน มีการเคลื่อนย้ายเข้าไปในฝั่งประเทศของตน จึงต้องรออาศัยกลไกทวิภาคี อาทิ JBC มาแก้ไขปัญหาในระยะยาว
2. พื้นที่ดังกล่าว ในอดีตเมื่อครั้งเกิดสงครามการสู้รบภายในกัมพูชาในปี พ.ศ.2520 รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ให้ราษฎรกัมพูชาอพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อแสดงถึงความมีน้ำใจและเห็นแก่หลักมนุษยชน แต่เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ พบว่ามีราษฎรกัมพูชาบางส่วนไม่ยอมเดินทางกลับประเทศ ยังคงพักอาศัยในพื้นที่ของประเทศไทย การติดตั้งแนวรั้วลวดหนามในบริเวณพื้นที่ต่างๆ ยังไม่ใช่การวางเพื่อระบุแนวเส้นเขตแดนเป็นเพียงการวางแนวเครื่องกีดขวางในการรักษาความปลอดภัยให้กำลังพลโดยเฉพาะป้องกันการลักลอบเข้ามาใช้อาวุธทุ่นระเบิดเพื่อทำร้ายฝ่ายไทยและเป็นลักษณะเสริมความมั่นคง ต่อที่วางกำลังของหน่วยทหารเท่านั้น
นอกจากนี้ยังพบว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยการสนับสนุนให้ราษฎรมาสร้างถิ่นฐานอย่างถาวร ทั้งในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ และนอกบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ในฝั่งประเทศไทยซึ่งกองทัพบก โดยกองกำลังบูรพา ได้ดำเนินการประท้วงร้องเรียนฝ่ายกัมพูชาในเวทีต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับหน่วยทหารในพื้นที่ และผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน แต่ฝ่ายกัมพูชากลับนิ่งเฉย ไม่มีการชี้แจงในรายละเอียด หรือแก้ไขใดๆ จึงยืนยันได้ว่าฝ่ายไทยได้ใช้การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีมาตลอด
โฆษกกองทัพบก กล่าวต่อว่าสำหรับปัญหา ณ ปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชา มีเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ พยายามจะใช้ประชาชนให้เป็นผู้ออกหน้าในการรุกล้ำพื้นที่อธิปไตยประเทศไทยในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ อาจเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับฝ่ายทหารโดยตรง ทำให้เข้าใจได้ว่า การกระทำดังกล่าวเหมือนมีการวางแผนมาอย่างเป็นระบบ และคอยเฝ้าดูว่า หากฝ่ายไทยดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดไป ก็จะนำเรื่องดังกล่าวไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือประเทศไทย เพื่อขอความเห็นใจสังคมโลกอย่างที่เป็นภาพให้เห็นอยู่ในปัจจุบันจึงอยากให้ช่วยกันสื่อสารต่อประชาคมโลก ให้เข้าใจในข้อเท็จจริงว่า การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมของไทย รวมถึงการแสดงออกถึงความมีน้ำใจที่ดีต่อเพื่อนบ้านในอดีต ไม่ควรถูกฝ่ายกัมพูชานำไปบิดเบือน เพื่อให้เป็นผลกลับมาใช้ทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายไทยอย่างไม่เป็นธรรม.
อ่านข่าวเพิ่มเติม