หนี้เสียพุ่ง! แบงก์หยุดปล่อยกู้ อินเวสทรีชี้ถึงเวลาปัดฝุ่นช่วยชีวิต SMEs ไทย พร้อมโชว์ยอดระดมทุนทะลุ 4.2 พันล้าน
เศรษฐกิจไทยวันนี้เปรียบเสมือน ‘ต้นไม้ที่รากไม่แข็งแรง’ ขาดน้ำหล่อเลี้ยงและต้องทนแดดเผาจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งสงครามการค้า พิษเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ทำให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจไทย ต้องเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก
ณัทสุดา พุกกะณะสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ฉายภาพว่า SMEs เป็นภาคธุรกิจที่มีสัดส่วนการจ้างงานสูง หาก SMEs ไปต่อไม่ไหว ผลกระทบจะตกถึงผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวม จริงๆ แล้วเริ่มเห็นชัดมาตั้งแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา และสัญญาณวิกฤตเริ่มปรากฏชัดมาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565 สินเชื่อ SMEs ลดลงต่อเนื่อง แบงก์ปล่อยสินเชื่อลดลงเรื่อยๆ ทำให้หนี้เสีย (NPLs) ของภาคธุรกิจพุ่งสูงขึ้น
นอกจากปัญหาสภาพคล่องแล้ว รายได้ SMEs ยังไม่ฟื้นตัวเท่ากับช่วงก่อนโควิด แถมยังต้องเจอแรงกดดันใหม่จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันเรียกเก็บในอัตรา 19% แม้จะยังไม่มีรายละเอียดเชิงลึกในแต่ละอุตสาหกรรม แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างความไม่แน่นอนให้กับการลงทุนระยะยาว โดยธุรกิจรายใหญ่หลายแห่งชะลอแผนลงทุน ขณะที่ต้นทุนสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านทยอยขยับสูงขึ้น กดดันการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
เมื่อมองในภาพรวม เศรษฐกิจไทยยังเผชิญโจทย์ใหญ่ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ภาระหนี้สาธารณะที่กดดันฐานะการคลัง และอัตราดอกเบี้ยที่แม้ไม่สูงมาก แต่ก็มีข้อจำกัดว่าควรลดลงได้อีกหรือไม่ ซึ่งล้วนสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
แนะภาครัฐปรับโครงสร้าง ต่อลมหายใจให้ SMEs
ณัทสุดา กล่าวต่อไปว่า ทางรอดของ SMEs รัฐบาลต้องจำเป็นต้องปัดฝุ่นนโยบาย และมีนโยบายให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ SMEs หรือแม้แต่การยกเว้นภาษีในระยะแรกเพื่อช่วยพยุงธุรกิจ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวเพื่อเพิ่มโอกาสการฟื้นตัว
สำหรับตัว SMEs เอง ต้องเริ่มจากการประเมินกำไรที่แท้จริง ไม่ใช่มองแค่เพียงยอดขาย แต่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายแฝง โดยเฉพาะการทำธุรกิจกับโมเดิร์นเทรดที่มักมีต้นทุนแอบแฝงสูง ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายรายที่กู้เงินมาลงทุนจำนวนมาก แต่ยิ่งทำกลับยิ่งขาดทุน เพราะรายได้ไม่ครอบคลุมต้นทุน
และแม้จะมีหลายองค์กรพยายามเข้ามาช่วยอบรมและเพิ่มความรู้ให้ผู้ประกอบการ แต่ฝันร้ายยังไม่จบ เพราะสุดท้ายแล้วแบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อและยังระงับวงเงินกู้ใหม่ ในบางรายเพราะมองเห็นปัญหาความเสี่ยงธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
โชว์ยอดระดมทุนทะลุ 4.2 พันล้าน เดินหน้าพยุง SMEs ไทยต่อเนื่อง
ท่ามกลางความยากลำบาก อินเวสทรี (ไทยแลนด์) ในฐานะแพลตฟอร์ม Crowdfunding ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ยังคงเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการมากว่า 4 ปี ตัวเลขยอดระดมทุนสะสมโตทะลุ 4.2 พันล้านบาท หนุนผู้ประกอบการไทยไปกว่า 120 ราย ผ่านดีลระดมทุน 2 พันครั้ง
ขณะเดียวกัน ยังยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยการเป็น แพลตฟอร์มคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding Platform) รายแรกในไทยที่ได้รับใบอนุญาตผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จาก ก.ล.ต. บทบาทดังกล่าวทำให้การออกตราสารหนี้เอกชนของ SME มีมาตรฐานการกำกับดูแลและการคุ้มครองสิทธิผู้ลงทุนที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ออกตราสาร ไปจนถึงวันครบกำหนดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
เมื่อมาดูในส่วนของผู้ขอระดมทุน ปัจจุบันมีทุกระดับ ตั้งแต่ขอทุนเพื่อทำโปรเจกต์เล็ก ๆ ไม่กี่หมื่นบาท ไปจนถึงระดมทุนหลักร้อยล้าน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีคนขอเข้ามาจำนวนมาก แต่ออกได้น้อย ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของแต่ละราย เบื้องต้น ในช่วงเวลา 1 เดือน จะออกหุ้นกู้ได้อย่างต่ำ 7 ราย และเมื่อไหร่ที่อินเวสทรีออกต้องยื่นรายงานให้กับ ก.ล.ต.
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ภาพรวมพอร์ตมีหุ้นกู้ครบกำหนดและชำระคืนแล้ว 91% ผิดนัดชำระหนี้เพียง 2% และมีประวัติติดตามเรียกคืนหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ได้ 79%
วรกร สิริจินดา หนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งอินเวสทรี กล่าวต่อว่า บทบาทของ Crowdfunding นั้นไม่ใช่แค่การระดมเงินทุน แต่คือการสร้างสาธารณูปโภคทางการเงินให้ SMEs สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปได้ และสามารถสร้างความเร็วในการปิดดีลและต้นทุนที่เหมาะสม เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพลตฟอร์มเติบโตได้แม้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
โดยอินเวสทรีมีระยะเวลาระดมทุนเฉลี่ยเพียงราว 1 วัน และต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 12% ต่อปี (ผลตอบแทนคิดจากค่าเฉลี่ยของหุ้นกู้ทั้งหมด ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถยืนยันหรือค้ำประกันผลตอบแทนในอนาคตได้)
ทั้งนี้ แม้ดีลหุ้นกู้ Crowdfunding จะมีผลตอบแทนน่าสนใจและช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตได้ แต่ทุกการลงทุนมีโอกาสขาดทุน การเลือกลงทุนจึงต้องประเมินทั้งคุณภาพผู้ออกหุ้นกู้ เงื่อนไขสัญญา และสภาพตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
สุดท้ายแล้วเมื่อมาดูข้อมูลสะสมล่าสุด พอร์ตของอินเวสทรีมีคุณภาพการชำระหนี้อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยตลาด ซึ่งสะท้อนถึงวินัยการคัดกรองก่อนออกตราสารหนี้ กระบวนการติดตามหลังการออก และเครื่องมือกำกับดูแลใหม่ที่เข้ามาเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน