5 วาทะทักษิณเขย่าเกมการเมือง ยืนยันไทยยังไม่ถึงทางตัน

เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

ทักษิณ ชินวัตร เปิดเวที 55 ปี Nation ปลุกความหวังการเมืองไทยผ่าน 5 วาทะเด่น ย้ำปัญหามีไว้แก้ไม่ใช่แบก พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าทางเลือกสำรอง หากแพทองธารต้องหยุดหน้าที่

“ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้แบก”

คือประโยคเปิดเวทีที่เรียกพลังจากผู้ฟังได้ทันที ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้พูดเพื่อตอกกลับใคร แต่เลือกจะเริ่มด้วยท่าทีของคนที่มองเกมการเมืองเหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ มากกว่าจะมองเป็นกำแพงอิฐที่ขวางอยู่ตรงหน้า

การเมืองไทยอาจดูเต็มไปด้วยทางตัน แต่สำหรับอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ปัญหาทางการเมืองไม่เคยเป็นภาระ มีแต่ความท้าทายให้ขบคิดและหาทางออก

“แพทองธารยังไปต่อได้ ถ้าไม่ได้ ชัยเกษมก็พร้อม”

ภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แพทองธารกลายเป็นศูนย์กลางของคำถามใหญ่ทั้งในสภาและสังคม ทักษิณตอบคำถามนี้ด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่แค่ในตัวลูกสาว แต่ในข้อเท็จจริงของคดีที่กำลังพิจารณาอยู่

พร้อมกันนั้นยังประกาศแนวทางสำรองเอาไว้ชัดเจน ถ้านายกรัฐมนตรีหญิงไปต่อไม่ได้ พรรคเพื่อไทยยังมีชัยเกษม นิติสิริ อยู่ในบัญชีรอรับไม้ต่อทันที

“พ่อนายกฯ อยู่นี่ ยังไงก็ดูแลบ้านเมืองเต็มที่”

ระหว่างที่หลายคนกังวลเรื่องสุญญากาศทางอำนาจ ทักษิณตอบสั้น แต่หนักแน่นว่าการบริหารประเทศยังมีทีม ยังมีคนดูแล และที่สำคัญที่สุด ตัวเขาเองยังไม่หายไปไหน

ประโยคนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันความต่อเนื่องของรัฐบาล แต่ยังตอกย้ำบทบาทของอดีตผู้นำซึ่งพร้อมเข้ามาช่วยกำกับทิศทาง แม้จะไม่ใช่ผู้มีอำนาจโดยตรงในทางนิตินัย

“ผมยังอยู่ เอาผมออกไม่ได้ ผมขอเสือก”

คือประโยคที่ทั้งตรงและทะลุทุกคำถามว่าทักษิณจะถอยหรือไม่ ประโยคนี้ไม่ใช่แค่คำพูดติดตลก แต่สะท้อนบทบาทของคนที่ไม่ยอมทิ้งเวที แม้ไม่ใช่ผู้เล่นหลักอีกต่อไปก็ตาม

พร้อมกับย้ำว่า อายุ 76 ปีในวันนี้ ไม่ได้ทำให้หมดแรงจะมีส่วนร่วมกับการเมือง ตราบใดที่ยังรักประเทศ และยังไม่หมดศรัทธาในความเปลี่ยนแปลง

“คณิตศาสตร์ทางการเมืองคือเครื่องมือ ไม่ใช่ทางตัน”

หลายคนอาจมองเสียงปริ่มน้ำเป็นกับดักของรัฐบาล แต่ทักษิณกลับมองว่านี่คือปริศนาทางตัวเลขที่สามารถจัดการได้ ตราบใดที่เข้าใจธรรมชาติของระบบรัฐสภา และรู้วิธีเจรจา

เมื่อพิจารณาจากบริบทที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ต่อรองทางการเมืองได้หลากหลาย ทักษิณจึงไม่มองตัวเลขที่ไม่มั่นคงเป็นปัญหาใหญ่ แต่คือโจทย์ที่ต้องหาวิธีประกอบคำตอบให้ลงตัว

“ภูมิใจไทยไม่ใช่ศัตรูถาวร แต่อย่าเอาอดีตกลับมาแล้วลืม”

ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ ทักษิณยอมรับว่าไม่ได้เป็นฝ่ายผลักออก แต่เมื่อการทำงานติดขัดเพราะกระทรวงมหาดไทยไม่ขยับ ก็จำเป็นต้องเลือกเดินหน้า

พร้อมย้ำชัดเจนว่า ได้ขอคืนมหาดไทยแล้ว อีกฝ่ายก็ขอแลกด้วยกระทรวงคมนาคม แต่ไม่สามารถตอบรับได้ เพราะรู้ดีว่าอะไรอยู่ในอดีต และอะไรอาจจะซ้ำรอย

“ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร”

ประโยคนี้อาจเป็นสูตรคลาสสิกของการเมืองไทย แต่เมื่อพูดจากปากทักษิณ มันกลับดูจริงมากกว่าคำพูดที่สวยหรู

โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงพรรคส้มและพรรคประชาชน ทักษิณระบุว่าการจะร่วมงานกับใครไม่ใช่เรื่องของสีหรือเสียงเท่านั้น แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ขัดกับสถาบันหลัก และต้องไปในทิศทางที่ไม่บิดเบือนความไว้วางใจของประชาชน

“สีแดงกับสีส้มอาจผสมกันได้ แต่สีฟ้าเป็นปลาคนละน้ำ”

อุปมาที่ไม่ได้ตั้งใจเล่นสี หากคือวิธีอธิบายการเมืองไทยที่ชัดเจนกว่าคำอธิบายทางวิชาการใดๆ ทักษิณมองว่าบางพรรคมีจังหวะจะโคนใกล้กัน สามารถพูดคุยเรื่องนโยบายได้

แต่บางพรรคแม้จะเสียงดังเท่ากัน ก็อาจไม่สามารถอยู่ในรัฐบาลเดียวกันได้ เพราะพื้นฐานความคิดต่างกันเกินไป จนเปรียบเหมือนปลาที่อยู่คนละแหล่งน้ำ

“คนไม่มีจริยธรรม จะมาร้องจริยธรรมได้อย่างไร”

ในช่วงที่กล่าวถึงกรณีฮั้ว ส.ว. และการฟ้องร้องเชิงจริยธรรม ทักษิณไม่อ้อมค้อมกับความรู้สึกว่าเกมนี้ไม่แฟร์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกจะเคารพกติกา

พร้อมแฉว่า มีการวางหมากไว้ตั้งแต่เลือกตั้ง โดยกำหนดไว้เลยว่า ส.ส.กลุ่มไหนควบคุมเสียงเท่าไร จะได้โควตา ส.ว. กี่คน และทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการจัดสรรอำนาจล่วงหน้าตามแผน

“เราอยู่ในโลกที่มีกติกา ก็ต้องเคารพกติกา”

แม้จะเจอกับข้อจำกัดจากระบบ ทักษิณยังเลือกจะอยู่ในเกม ไม่ล้มโต๊ะ ไม่ฟ้องกลับ และไม่ใช้คำว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” แบบที่ใครหลายคนทำ

เพราะอย่างน้อยที่สุด หากยังอยู่ในกติกา ก็ยังมีพื้นที่ให้เดินต่อ และยังพอมีศรัทธาหลงเหลืออยู่ในระบบ

“กลืนเลือดสี่ปี๊บ ถ้าจำเป็นก็ต้องกลืน”

คำพูดปิดเวทีที่หนักแน่นที่สุดในค่ำคืนนั้น ไม่ได้สื่อถึงความพ่ายแพ้ แต่สื่อถึงความเข้าใจในความยากของการเมืองไทย ที่บางครั้งต้องยอมเจ็บ เพื่อให้เกมยังเดินต่อไปได้

แม้อาจไม่ใช่หนทางที่ใครอยากเลือก แต่ถ้าเพื่อให้ประชาชนไม่เสียโอกาส และประเทศไม่ติดหล่ม ก็ต้องยอมแลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง