หยุดปะทะคารมไทย–กัมพูชา หันเยียวยา ปชช. มุมมองจากกรอบความมั่นคงไซเบอร์ NIST สหรัฐ
4 ส.ค.2568-ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และอาจารย์ประจำหลักสูตรความปลอดภัยทางไซเบอร์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม (STC) เผยแพร่บทความการปะทะกันทางทหารบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ได้สร้างเพียงรอยแผลทางภูมิรัฐศาสตร์ หากยังทิ้งร่องรอยความสูญเสียแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างลึกซึ้ง
ผศ.ดร.นพดลกล่าวว่า บทความนี้นำเสนอกรอบการวิเคราะห์เชิงระบบ โดยใช้ NIST Cybersecurity Framework ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ Identify, Protect, Detect, Respond และ Recover มาประยุกต์ใช้กับบริบทของความขัดแย้งชายแดน โดยเน้นหนักไปที่ขั้นตอน “การฟื้นฟู” (Recover) และ “การเยียวยา” (Remedy) ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยความมั่นคง เพื่อย้ำเตือนว่าในทุกความขัดแย้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การไม่ลืมประชาชนและทหารผู้กล้า”
ความขัดแย้งระหว่างรัฐชาติ แม้มีเหตุผลทางประวัติศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์รองรับ แต่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคของความร่วมมือ ความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือน กลับเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกไม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่เพียงแต่ในเชิงกายภาพ หากยังมีผลกระทบในเชิงดิจิทัล โดยเฉพาะความเกลียดชังและการบิดเบือนข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย
บทความนี้เสนอการจัดการวิกฤติผ่านกรอบความคิด NIST Cybersecurity Framework ที่มุ่งสร้างระบบที่ยืดหยุ่น รับมือภัยคุกคามในทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างความพร้อม ฟื้นฟู และเยียวยาประชาชนในทุกระยะของวิกฤติ ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิด NIST Cybersecurity Framework กับการจัดการความขัดแย้งและรักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนทุกคน มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ได้แก่
1. Identify (ระบุความเสี่ยง) รู้ให้เร็ว เห็นให้ชัด ก่อนทุกความสูญเสีย
การระบุความเสี่ยงไม่ใช่แค่การนับจำนวนทหารหรืออาวุธฝ่ายตรงข้าม แต่คือการเข้าใจว่า “ใคร” คือผู้ที่เปราะบางที่สุดในสนามรบที่เราไม่ได้เลือก—เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้หญิง ผู้พิการ และพลเรือนในเขตชายแดน ไม่ควรต้องตื่นนอนพร้อมเสียงระเบิด หรือปิดตานอนหลับใต้เพดานที่อาจพังทลายเมื่อใดก็ได้ จุดยุทธศาสตร์ทหารที่ถูกซ่อนอยู่ในความเงียบสงัด ต้องถูกมองให้ทะลุด้วยเรดาร์แห่งความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้พื้นที่เปราะบางกลายเป็นสุสานของผู้บริสุทธิ์
2. Protect (ป้องกัน) ป้องกันชีวิต มากกว่าป้องกันอำนาจ
การป้องกันที่แท้จริงไม่ใช่การตั้งค่ายให้มั่น แต่คือการปกป้องชีวิตทุกชีวิตให้อยู่รอด ปลอดภัย และไม่ถูกรุกรานทั้งทางร่างกายและจิตใจในยุคสงครามไฮบริด—ที่ทั้งขีปนาวุธ โดรน และข่าวปลอม ถูกยิงออกมาพร้อมกันในเวลาน้อยกว่า 10 วินาที—ประเทศไทยไม่ควรตั้งรับแบบเดิมอีกต่อไป เราควรมีระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงเช่น “Iron Dome แบบไทย” หรือ "Thai Sky Shield – เกราะคุ้มฟ้า" ที่ผสานพลังจากเรดาร์ AI และไซเบอร์อินเทลลิเจนซ์ เพื่อสกัดอาวุธร้ายก่อนถึงเป้าหมาย ไม่ใช่รอคำนับหน้าหลุมศพของประชาชน
3. Detect (ตรวจจับ) มองให้ลึก เห็นให้ไว ก่อนภัยจะกระทบชีวิต
การตรวจจับสมัยใหม่ต้องครอบคลุมทุกสนาม—ทั้งสนามรบและสนามโซเชียล เราต้องมีระบบที่สามารถตรวจจับขีปนาวุธในอากาศได้ในไม่กี่วินาที พร้อมกับสามารถ “ดักจับ” วาทกรรมเกลียดชัง ข่าวปลอม และการปลุกระดมในโลกออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์ เราต้องให้เทคโนโลยีเป็นตา หู และสัญชาตญาณร่วมของชาติ ไม่ใช่ใช้แค่ตอนแถลงข่าว แต่ต้องทำงานจริงเมื่อชีวิตคนแขวนอยู่บนเส้นด้าย
4. Respond (ตอบสนอง) ช่วยให้ทัน ฟังให้ชัด สื่อให้ตรง
เมื่อเกิดภัยคุกคาม หน่วยงานรัฐไม่ควรตอบโต้ด้วยคำสั่งราชการเท่านั้น แต่ต้องตอบสนองด้วยหัวใจและเทคโนโลยี เราต้องมีระบบแจ้งเตือนที่ไปถึงประชาชนได้เร็วกว่าข่าวปลอม เราต้องมีทีมแพทย์ ทีมอพยพ และทีมสื่อสารวิกฤติ ที่ทำงานประสานกันแบบไม่มีช่องว่างระหว่างหน่วยงาน เราควรมีระบบ C2 (Command and Control System) ที่สามารถสั่งการสกัดภัยร้ายได้อัตโนมัติภายในไม่กี่วินาทีและที่สำคัญ—เราต้องพร้อมสื่อสารความจริง ด้วยภาษาที่ประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่คำศัพท์สวยหรูอย่างเดียว เพราะประชาชนต้องการสิ่งที่จับต้องได้
5. Recover (ฟื้นฟู) ฟื้นฟูคน ฟื้นฟูศรัทธา ฟื้นฟูมนุษยธรรม
หัวใจของความมั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่เครื่องบินรบที่แพงที่สุด แต่คือ หัวใจของผู้คนที่ยังเต้นอยู่หลังวิกฤติ
การฟื้นฟูต้องไม่ใช่แค่แจกถุงยังชีพ แต่คือการสร้างบ้านให้คนที่บ้านพัง โดยการเคหะแห่งชาติ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การฟื้นฟูที่ดินทำกินให้คนที่ไร้ที่ทำกินโดยกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานรัฐเจ้าของที่ดิน เยียวยาใจคนที่ลูกหลานตายต่อหน้าโดย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และให้สวัสดิการระยะยาวกับครอบครัวทหารและพลเรือนผู้เสียสละ ทุกภาคส่วนประชาสังคมร่วมแรงร่วมใจกัน
เราควรสร้างอนุสรณ์สถานของศักดิ์ศรี เพื่อย้ำเตือนคนรุ่นต่อรุ่นถึงเหล่าทหารกล้าผู้พลีชีพ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่สูญเสีย เพราะประเทศไทยสามารถมีขีปนาวุธ หรือไม่มีเลยก็ได้ แต่หากผู้มีอำนาจไม่มีหัวใจที่ปกป้องความปลอดภัยของประชาชนในทุกนโยบาย ประเทศนั้นไม่มีวันมั่นคงได้เลย
ในยุคที่เทคโนโลยีวิ่งเร็วกว่าศีลธรรมและความเมตตา การผสมผสาน “Cybersecurity Framework” กับ “Human Security Framework” จึงเป็นทางรอดที่ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือความจำเป็น กรอบ NIST 5 ขั้นตอนนี้ จึงมิใช่แค่โมเดลการบริหารความมั่นคง แต่คือ แผนที่นำชาติกลับคืนสู่หัวใจของประชาชน
กล่าวโดยสรุป ในฐานะนักวิชาการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผู้ผ่านการศึกษาและฝึกฝนจากเวทีนานาชาติอย่างมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ สหรัฐอเมริกา และในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เชื่อมั่นว่า "เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ต้องไม่ทิ้งประชาชนที่เปราะบางไว้ข้างหลัง" ผมเขียนบทความนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อเสนอแนวคิดเชิงนโยบาย หากแต่เพื่อส่งเสียงแทนผู้ที่ไร้เสียง ในภาวะที่กระสุนปืนและคำพูดเกลียดชังยังดังก้องเหนือความเข้าใจ
บทเรียนจาก NIST Framework ไม่ได้สอนเราเพียงเรื่องไซเบอร์ แต่สอนเราว่า ทุกระบบที่ดีต้องมี การฟื้นฟู (Recover) และ การเยียวยา (Remedy) อยู่ในหัวใจ เพราะเมื่อใดที่เทคโนโลยีทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ประชาชนจะไม่ต้องหวาดกลัว และเมื่อใดที่ผู้ปกครองประเทศให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ชาติและชีวิตประชาชนเหนืออื่นใด เมื่อนั้นสันติภาพจึงจะเกิดขึ้นจริง เราทุกคนอาจไม่มีอาวุธ แต่เรามีความหวัง เราทุกคนอาจไม่ใช่นายพล แต่เราทุกคนมี "ความกล้า" ที่จะยืนอยู่ข้างความถูกต้อง และเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนธรรมดา หรือทหารผู้กล้า ต่างก็สมควรได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียมทั่วถึงกัน ถ้าบทความนี้จะฝากอะไรไว้ให้สังคมได้จดจำ ขอให้เป็นความเชื่อว่า การหยุดสงครามที่ดีที่สุด ไม่ใช่การโต้กลับด้วยอาวุธที่รุนแรงกว่า แต่คือการปกป้องความปลอดภัยของประชาชนไว้ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น……..ด้วยความเคารพในชีวิต และศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์