Ozzy Osbourne ‘เจ้าชายรัตติกาล’ กับการลงสนามครั้งสุดท้ายในวิลลา ปาร์ค

“เฮ้ย กีเซอร์” เสียงแหบนั้นฟังดูออกไม่ยากว่าเป็นเสียงคนเฒ่าผู้โรยรา แต่น้ำเสียงกลับซ่อนไว้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของชายผู้เป็นตำนานของโลกใบนี้

“ว่าไงอ๊อซ” ปลายสายทักทายกลับ

“ไปเตะบอลเล่นที่วิลลา ปาร์คกันเถอะ” คำเชิญชวนจากเจ้าชายรัตติกาล (The Prince of Darkness) ถูกส่งตรงถึงคุณแล้ว และแน่นอนว่าไม่มีทางที่ใครจะกล้าปฏิเสธ

“ก็ได้ แต่ผมต้องได้เล่นปีกซ้ายนะ” ก่อนที่ท่อนอินโทรของเพลงฮิตตลอดกาล Paranoid จะดังขึ้น

บทสนทนาข้างต้นนี้คือช่วงเปิดของวิดีโอการเปิดตัวชุดแข่งใหม่ของทีมแอสตัน วิลลา ภายใต้สปอนเซอร์ใหม่เมื่อปีกลายในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2024/25 ที่กลายเป็นไวรัลในเวลาอันรวดเร็ว โดยมีจำนวนยอดผู้ชมบน Instagram มากถึง 6.5 ล้านคนในระยะเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น มากกว่าการเปิดตัวชุดแข่งใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4.8 ล้านคน), นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 3.7 ล้านคน) และอาร์เซนอล”>(3.7 ล้านคน) และอาร์เซนอล (1 7 ล้านคน)

ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้นี้เป็นเพราะเขาคนเดียว

อ๊อซซี ออสบอร์น

ในโลกของเสียงดนตรี ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของออสซี ออสบอร์น

ช่วงทศวรรษที่ 60 เป็นยุคทองของวงการดนตรีในอังกฤษ “The Beatles” วงของเด็กหนุ่มจากเมืองลิเวอร์พูล กลายเป็นปรากฏการณ์ในระดับโลกที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศอย่างมากมายมหาศาล เหมือนการส่องแสงไฟลงมา

แต่ในอีกด้านของแสงคือความมืดและเงาทมิฬ “Black Sabbath” ก็เป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมของชาวหูเหล็กผู้มีความสุขกับการได้รับมวลพลังมหาศาลที่ถูกส่งผ่านคลื่นเสียงทะลวงตั้งแต่รูหูผ่านปอด ตับ หัวใจ เซี่ยงจี๊ ลำไส้ใหญ่ ลึกไปจนถึงจิตและวิญญาณ

ผู้คนเรียกขานแนวดนตรีนี้ในเวลาต่อมาว่า “เฮฟวี เมทัล”

Black Sabbath ตามตำนานที่เล่าขานคือการร่วมกันก่อตั้งระหว่างผองเพื่อน 4 คนได้แก่ อ๊อซซี ออสบอร์น, กีเซอร์ บัตเลอร์, โทนี ไอออมมี และบิล วอร์ด โดยชื่อของวงนั้นถูกเปลี่ยนใหม่ตามชื่อของหนังเรื่อง Black Sabbath ซึ่งในเวลาต่อมาพวกเขาได้แต่งเพลงชื่อเดียวกันขึ้นโดยอิงแรงบันดาลใจจากนวนิยายสยองขวัญของเดนนิส วีทลีย์

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือประวัติศาสตร์ของโลกดนตรี กับตำนานของหนึ่งในวงเฮฟวีเมทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เจ้าของผลงานเพลงอมตะมากมาย ที่หลายคนยังคงได้ยินจนทุกวันนี้อย่าง Paranoid หรือเพลงบัลลาดที่หยาดเยิ้มที่สุดเพลงหนึ่งอย่าง Goodbye to Romance

แต่ไม่ว่าบทเพลงของพวกเขาจะโหยหวน เสียงดนตรีชวนสยองขวัญ และกรีดลึกขนาดไหน

และไม่ว่าชีวิตในเส้นทางดนตรีของอ๊อซซี จะโลดโผนโจนทะยาน เกิดการเปลี่ยนแปลงในวง Black Sabbath (และอีกหลายวงก่อนหน้านั้น) ขนาดไหน จะเปลี่ยนแปลงสมาชิก จะสูญเสีย จะตัดสินใจยุบวง แยกตัวออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว และกลับมารียูเนียนกันอีกกี่ครั้ง

ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของหัวใจ อ๊อซซีกับกีเซอร์ ยังมีเหลือไว้ให้แอสตัน วิลลาเสมอ

ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่เคยเป็นความลับ

“อ๊อซ” และกีเซอร์ เกิดในเมืองเบอร์มิงแฮมทั้งคู่ เพียงแต่นักร้องนำของ Black Sabbath จะขิงได้มากกว่าเล็กน้อยเพราะบ้านของเขาอยู่ในย่านแอสตัน ซึ่งใกล้กับสนามวิลลา ปาร์ค มากกว่า

นั่นทำให้เขามีความผูกพันกับแอสตัน วิลลาตั้งแต่เกิดจนตาย

และไม่มีอะไรที่จะพรากไปได้ด้วย

สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้คือครั้งยังเป็นวัยรุ่น อ๊อซซีเคยมีรายได้พิเศษจากการล้างรถที่มาจอดอยู่รอบๆสนามวิลลา ปาร์ค ในวันแมตช์เดย์ที่มีการแข่งขัน

ถึงแม้ว่าอ๊อซซี จะไม่ถึงขั้นกับเป็นแฟนในระดับเดนตาย ดายฮาร์ดมากเท่ากับกีเซอร์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขากับวิลลาอยู่ไกลกัน เพราะเขายังมาปรากฏตัวให้เห็นตามโอกาสอำนวยเสมอ

สำหรับชาว “The Villians” (แฟนบอลวิลลา) อ๊อซคือหนึ่งในสมาชิกครอบครัวคนสำคัญ

หลายปีก่อนบทเพลงที่จะถูกเปิดในช่วงก่อนการลงสนามแข่งขันในวิลลา ปาร์ค ก็คือเพลง “Paranoid” ผลงานเพลงฮิตเพลงแรกของ Black Sabbath ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาเป็นเพลง “Crazy Train” ซึ่งก็ยังเป็นเพลงของอ๊อซอยู่ดี

ย้อนกลับไปในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แฟนบอลวิลลาได้ทำ Tifo (แปรภาพ) ขนาดยักษ์ในสนามวิลลา ปาร์ค ก่อนเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในเกมที่พวกเขาพบกับกลาสโกว์ เซลติก

Tifo นั้นเป็นภาพของอ๊อซซี ในท่วงท่าที่ทุกคนคุ้นตาพร้อมกับข้อความว่า “Up the Villa” ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนจากในระยะไกล

สโมสรเองก็รู้เห็นด้วยกับเรื่องนี้โดยบอกว่านี่เป็นการร่วมสดุดีให้กับ Prince of Darkness ผู้เกิดและเติบโตมากับแอสตัน วิลลา และเชื่อมโยงโลกสองใบระหว่างดนตรีร็อกเมทัลกับเกมฟุตบอลเข้าด้วยกัน

“ตำนานผู้มีชีวิตที่ไม่ต่างอะไรจากแฟนวิลลาคนอื่นๆที่นำพาสีแดงเลือดหมูและน้ำเงินของเราเดินทางไปทั่ว”

จบเกมนั้นวิลลาชนะไป 4-2 ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

หลังจากนั้นวิลลายังเปิดตัวชุดแข่งคอลเลกชันพิเศษที่ทำร่วมกับ Black Sabbath

แต่สำหรับอ๊อซ เกมสำคัญที่สุดของชีวิตของเขาเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนในวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา

หลายปีที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันดีว่าร่างกายของเจ้าชายรัตติกาลโรยราลงไปมากจากผลของโรคพาร์กินสัน โรคร้ายที่ยังไม่มียาใดในโลกรักษาได้

คนจำนวนไม่น้อยมองว่าชีวิตของอ๊อซซี ออสบอร์นนั้นคุ้มค่าแล้วไม่ว่าจะด้านไหน เขามีชีวิตที่ “สุด” เท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะไปถึงโดยที่ยังไม่ถลำลึกเกินไปจนต้องเข้าสู่ความมืดมนอนธการก่อนเวลาอันควร

ในวัยชราเขายังมีชีวิตที่สงบสุข อยู่กับชารอน ภรรยาที่รักและครอบครัวที่อบอุ่น

กระนั้นก็ยังมี “ความฝัน” ที่เขาอยากจะทำให้เป็นความจริงให้ได้อยู่

หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ชารอน เคยบอกว่าอ๊อซซีมีความฝันอยากที่จะได้มีโอกาสในการได้เล่นคอนเสิร์ตอีกสักครั้งร่วมกับ Black Sabbath ซึ่งคงจะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว

และหากจะมีคอนเสิร์ตนั้น ที่เดียวที่เขาอยากจะเล่นคือในสนามวิลลา ปาร์ค เท่านั้น

เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะอย่างแรกคือสุขภาพของเขาเองที่ไม่ได้ดีหรือแข็งแรงสักเท่าไรนัก ขณะที่วง Black Sabbath เองก็แยกย้ายไม่ได้กลับมารวมตัวกันอย่างจริงจังอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2005 หรือร่วม 20 ปีมาแล้ว

แต่สุดท้ายอาจเป็นเพราะทุกคนรู้ดีว่าเวลาของอ๊อซอาจจะเหลือไม่มาก และหากมันจะเป็น “คำขอครั้งสุดท้าย” ของเขา มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนควรจะบอกปัด

สมาชิกในวง Black Sabbath ชุดแรกตั้งแต่กีเซอร์ โทนี และบิล ประกาศกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อขึ้นคอนเสิร์ตสั่งลาที่ตั้งชื่อว่า “Back to Beginning” ซึ่งก็มีความหมายตรงตัวตามนั้น

กลับมาสู่จุดเริ่มต้นของพวกเขาอีกครั้ง

โดยที่ในคอนเสิร์ตวันนั้นเป็นการรวมตัวกันของทุกคนที่รักทั้ง Black Sabbath และตัวของอ๊อซซี ออสบอร์น ที่แม้แต่วงระดับตำนานอย่าง “Guns N’ Roses” และ “Metallica” ก็ยังมาร่วมกันประหนึ่งงานมุทิตาจิต

เมื่อสิ้นสุดบทเพลง Master of Puppets ของ Metallica วงที่ 17 ในงานวันนั้นก็ถึงคิวของพระเอกอย่างอ๊อซที่ขึ้นมาโชว์ผลงานเพลงเดี่ยวของตัวเองจำนวน 5 เพลงด้วยกัน จาก I Don’t Know, Mr. Crowley, Suicide Solution, Mama, I’m Coming Home และ Crazy Train

ต่อด้วยการโชว์ของ Black Sabbath อีก 4 บทเพลงด้วยกัน War Pigs, N. I. B, Iron Man

และปิดท้ายด้วย Paranoid

แม้ว่าตัวของอ๊อซซีจะไม่สามารถยืนหรือเดินได้ไหวอีกแล้วเพราะโรคพาร์กินสันพรากสิ่งนั้นไปจากเขา และแม้ว่าพลังเสียงของเขาจะอ่อนลงตามกำลังกายและวัยที่โรยรา

แต่ทุกคนที่เข้าร่วมคอนเสิร์ตในวันนั้นยังสัมผัสได้ถึงความสุดยอดของเจ้าชายรัตติกาลคนนี้ ผู้กรีดเอาหัวใจออกมาถวายกลับคืนให้แก่ทุกคน

น้ำตาไหลอาบแก้มของใครหลายคนในวันนั้นด้วยความอิ่มเอมใจ

โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าวันนั้นอ๊อซซีไม่ได้มาเพียงเพื่อแค่บอกรัก แต่เขามาเพื่อบอกลากับทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายด้วย

คืนวันที่ 22 กรกฎาคม เจ้าชายรัตติกาลจากทุกคนไปอย่างสงบท่ามกลางคนที่เขารักและรักเขา

เป็นการจากไปของตำนาน ในแบบตำนานตลอดกาลอย่างแท้จริง