กระทรวงต่างประเทศ กัมพูชา โหมหนัก ออกแถลงการณ์ 8 ข้อ ย้ำกล่าวหาไทยติดอาวุธรุกล้ำแดน ปิดด่านไม่หารือ จี้ยอมรับอำนาจศาลโลก
วันที่ 5 ก.ค. 68 สำนักข่าว Fresh News สื่อของกัมพูชา โพสต์ภาพเอกสาร แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา พร้อมข้อความระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ 8 ประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาล่าสุด และยืนยันจุดยืนที่เป็นหลักการของกัมพูชาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนกับไทย โดยมีรายละเอียดว่า (พนมเปญ): กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2568 ได้ออกแถลงการณ์ 8 ประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาที่เกิดขึ้นล่าสุด และยืนยันจุดยืนตามหลักการของกัมพูชาเกี่ยวกับปัญหาชายแดนกับราชอาณาจักรไทย กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศได้ออก แถลงการณ์ระบุจุดยืนของราชอาณาจักรกัมพูชาดังนี้ ประการแรก: เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 เวลาประมาณ 05.30 น. กองกำลังติดอาวุธของไทยได้เข้ามาในเขตดินแดนของกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย และเปิดฉากยิงใส่ฐานทัพทหารกัมพูชา ณ บ้านเตโชมระโกฏ ต.มรกต อ.จอมขสันต์ จ.พระวิหาร การกระทำโดยไม่ได้รับการยั่วยุนี้ ส่งผลให้ทหารกัมพูชาสูญเสียชีวิตอันน่าเศร้า วันรุ่งขึ้น รัฐบาลกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยประณามอย่างรุนแรงถึงการละเมิดอำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน และหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ กัมพูชาเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์นี้อย่างเป็นอิสระและเป็นกลาง และเรียกร้องความรับผิดชอบและความยุติธรรมให้กับทหารที่เสียชีวิต ประการที่สอง: เมื่อเผชิญกับการใช้กำลังที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ กัมพูชาได้ใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด และดำเนินมาตรการที่รับผิดชอบ เพื่อลดความตึงเครียด รวมถึงการติดต่อสื่อสารในระดับรัฐบาลและทหาร น่าเสียดายที่สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกเนื่องจากมีการส่งกองกำลังทหารไปประจำการที่ฝั่งไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้กัมพูชาต้องใช้มาตรการป้องกันตนเองที่จำเป็น เพื่อป้องกันการบุกรุกดินแดนของเราเพิ่มเติม การดำเนินการฝ่ายเดียวของไทย รวมถึงการปิดพรมแดนโดยไม่ปรึกษาหารือล่วงหน้า การขุดสนามเพลาะในพื้นที่อ่อนไหว และการขู่ว่าจะตัดบริการที่จำเป็น เช่น บริการอินเทอร์เน็ต การจ่ายไฟฟ้า และการขนส่ง ล้วนก่อให้เกิดความตึงเครียดอย่างมาก นอกจากนี้ความท้าทายเหล่านี้ทำให้กระบวนการของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) หยุดชะงักมาเป็นเวลานาน เนื่องจากฝ่ายไทยไม่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมประชุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าของกัมพูชา ฝ่ายไทยยืนกรานที่จะใช้แผนที่ที่ร่างขึ้นฝ่ายเดียว ซึ่งขัดกับตัวอักษรและเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจปี 2000 (MOU-2000) ซึ่งระบุถึงการใช้แผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม และการประกาศความเต็มใจที่จะใช้กำลังทหารของไทยในการแก้ไขพื้นที่พิพาท นอกจากนี้ ความตึงเครียดในพื้นที่บางพื้นที่ตามแนวชายแดนในปัจจุบันอาจทวีความรุนแรงกลายเป็นความขัดแย้งด้วยอาวุธได้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2551-2554 ในสถานการณ์ดังกล่าว กัมพูชาสรุปได้ว่ากลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขข้อพิพาทในประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นมายาวนานได้อีกต่อไป ประการที่สาม: โดยคำนึงถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ และความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเราในการป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นข้อขัดแย้งเต็มรูปแบบที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของประชาชนของเรา กัมพูชาจึงได้ตัดสินใจที่จะส่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่พิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและยืดเยื้อมานาน 4 แห่ง ได้แก่ วัดตาเมือนธม วัดตาเมือนโตช วัดตากระบี และพื้นที่หม่อมเตย ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) กัมพูชาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการขอความช่วยเหลือจากกลไกทางกฎหมายที่เป็นกลางนี้เป็นหนทางที่มีประสิทธิผลและสันติที่สุดในการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยุติธรรมและยั่งยืน ประการที่สี่: เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมกันยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คำเชิญนี้ได้รับการย้ำอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการร่วมชายแดนกัมพูชา-ไทยที่จัดขึ้นในกรุงพนมเปญระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย. 2568 จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตอบรับอย่างเป็นทางการจากฝ่ายไทย ประการที่ห้า: การตัดสินใจของกัมพูชาในการส่งข้อพิพาทไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศสอดคล้องอย่างเต็มที่กับกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ การตัดสินใจนี้ยึดตามฐานทางกฎหมายที่มั่นคง เนื่องจากพื้นที่พิพาทเหล่านี้อยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาโดยสิ้นเชิง ตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาปีพ.ศ. 2447 และสนธิสัญญาปีพ.ศ. 2450 ระหว่างฝรั่งเศสและสยาม และตามที่ปรากฏบนแผนที่ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม แผนที่เหล่านี้ได้รับการยอมรับและอนุมัติร่วมกันจากทั้งสองประเทศ และได้รับการยืนยันอีกครั้งใน MOU-2000 ให้เป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานกำหนดเขตแดน ประการที่หก: คำร้องขอของกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการหลักของสหประชาชาติ ไม่ควรเข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์หรือการยั่วยุ ตรงกันข้าม ถือเป็นมาตรการสันติที่มีความรับผิดชอบและถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละของกัมพูชาต่อกฎหมายระหว่างประเทศและระเบียบระหว่างประเทศตามกฎเกณฑ์ ประการที่เจ็ด: สมาชิกอาเซียนอื่นๆ เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย (2545) และมาเลเซียและสิงคโปร์ (2551) ก็ได้หันมาพึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อแก้ไขข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตของตนได้อย่างประสบความสำเร็จและเคารพซึ่งกันและกัน กัมพูชายังคงเปิดกว้างต่อกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหาชายแดนส่วนที่เหลือตามกฎหมายระหว่างประเทศ ยกเว้นพื้นที่พิพาทสี่พื้นที่ข้างต้น ประการที่แปด: กัมพูชาขอเรียกร้องอีกครั้งให้ราชอาณาจักรไทยแสดงความจริงใจโดยยอมรับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในเรื่องนี้ ขั้นตอนดังกล่าวเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศตามกฎบัตรสหประชาชาติ และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นจริงใจในการบรรลุแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน