UTA ยอมรัฐขยายออก NTP สร้างสนามบินอู่ตะเภากลางส.ค.นี้ รออีอีซีชงครม.เจรจาสัญญา
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี (EEC) เปิดเผยว่า
EEC ได้ทำหนังสือถึง บริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) แล้ว เพื่อแจ้งขอขยายเวลาส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (NTP: Notice to Proceed)โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
จากวันที่ 31 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ออกไปก่อนจนกว่า ครม.จะมีข้อสั่งการ ซึ่งทาง UTA ก็ได้ขยายให้ออกไปเป็นช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้
ทั้งนี้ EEC ได้ทำข้อมูลเพื่อรายงานครม. ถึงความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มี UTA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนฯ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS), และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) เป็นบริษัทคู่สัญญาได้ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา โดยหวังว่าจะมีการนำเสนอเข้าครม.ในวันที่ 5 ส.ค. 2568 นี้ หลังจากเมื่อวันที่ 29 กรกฏาคมที่ผ่านมายังไม่ได้มีการนำเรื่องเข้าครม.
ทั้งนี้ในการรายงานครม.จะมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1.รับทราบ ปัญหาอุปสรรค ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายหลังการลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ ซึ่งกระทบความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการอย่างร้ายแรง มีผลให้เอกชนคู่สัญญาไม่สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ตามสัญญาร่วมลงทุนของโครงการฯ รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ
2. มอบหมายให้ สกพอ. เจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคตามข้อเท็จจริงทั้งหมดบนพื้นฐานความสมเหตุสมผลกับเอกชนคสัญญา เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ และการเกิดการลงทุนโครงการได้จริง
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ให้ดำเนินการตามกระบวนการแก้ไขสัญญาร่วมประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิและกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีการเจรจากันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินฯ ปี 2561 และเซ็นสัญญาปี 2563 ซึ่งมีปัญหาจากปัจจัยที่มากระทบมาจากหลายสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หลักการเจรจาต้องการแก้ไขปัญหาให้ครบทุกประเด็น
โดยหนึ่งในเงื่อนไขในการออก NTP คือต้องมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ด้วย แต่จากที่เจรจากันมา 6 เดือน โครงการรถไฟความเร็วสูงไม่มีความชัดเจน จึงเห็นว่าการเดินหน้าออก NTP ของสนามบินโดยไม่มีรถไฟความเร็วสูงถือเป็นการลดหย่อนเงื่อนไข
ทั้งนี้ทาง UTA ได้เสนอปรับแผนพัฒนา โครงการในระยะที่ 1 โดยขอเริ่มการพัฒนาขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารที่ 3 ล้านคน/ปี จากเดิมที่จะพัฒนารองรับที่ 12 ล้านคน/ปี
สำหรับแผนพัฒนาที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้ มีการปรับการพัฒนาจาก 4 ระยะ เป็น 6 ระยะ โดยระยะที่ 1 เริ่มต้นที่ 12 ล้านคน/ปี ซึ่งเป็นศักยภาพรองรับผู้โดยสารเทียบเท่ากับสนามบินภูเก็ตหรือสนามบินเชียงใหม่ ซึ่งเหมาะสมสำหรับการจะพัฒนาเพื่อเป็นฮับได้
ขณะเดียวกัน EEC ได้สอบถาม UTA ในทางกลับกันว่า หากดำเนินการไปแล้ว โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินมีการเปิดให้บริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มดีมานด์ให้สนามบินเหมือนเดิม ทาง UTA จะมีการพัฒนาในกรณีนี้อย่างไร ต้องคิดและเจรจากันไว้เลย ทั้งนี้เพื่อให้มีเหตุผลและแนวทางชี้แจงต่อทุกฝ่ายได้
การเจรจาต้องให้ครบทุกประเด็นและทุกกรณีที่จะเกิดขึ้น ตอนนี้ UTA บอกว่าจะเริ่มทำสนามบินโดยไม่รอรถไฟความเร็วสูง แต่หากรถไฟเปิดให้บริการได้ ตอนนั้นแผนพัฒนาสนามบินจะเป็นอย่างไร ต้องหารือให้ชัดเจนก่อน นายจุฬา กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา UTA ได้ส่งหนังสือมาถึง อีซีซี เพื่อให้เร่งส่งมอบหนังสือเริ่มงาน โดยจะไม่ขอให้ขยายเวลาส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (NTP: Notice to Proceed) เกินไปจากวันที่ 31 ก.ค.นี้ รวมถึงจะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากการดำเนินโครงการล่าช้าเป็นวงเงิน 5,100 ล้านบาทด้วย ก่อนที่อีอีซี จะขอให้ขยายเดตไลน์ออกไป และ UTA ได้เลื่อนให้ไปจนถึงกลางสิงหาคมนี้
UTA เรียกค่าเสียหายจากการดำเนินโครงการล่าช้าเป็นวงเงิน 5,100 ล้านบาท
ดังนี้
- 1. ค่าใช้จ่ายจากการพัฒนาโครงการ
1.1 ค่าใช้จ่ายการดำเนินการเพื่อให้เงื่อนไขการให้สิทธิร่วม
ลงทุนในโครงการฯ แก่ บริษัทฯ สำเร็จ 9,220,163 บาท
1.2 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการฯ ในส่วนงานหลักของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาให้สามารถบรรลุ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ2,508,078,908 บาท
1.3 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออกให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายซองโครงการฯ 894,488,351 บาท
1.4 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการพัฒนามาตรการสนับสนุน
โครงการฯ เพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการฯ ได้บรรลุ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ 179,888,429 บาท
1.5 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการส่งเสริมความร่วมมือกับกองทัพเรือเพื่อประโยชน์โครงการฯ ตามมติคณะกรรมการคัดเลือกของโครงการฯ 368,800,000 บาท
- 2.ค่าเสียหายจากการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของโครงการฯตามสัญญาร่วมลงทุน 1,139,489,591บาท