อย่าปรามาสธรรม .. อย่าประมาทกรรม!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในห้วงเวลาที่ออกตรวจการณ์คณะสงฆ์ ภาค ๒ (ธรรมยุต) ประจำปี ๒๕๖๘ ในพื้นที่ ๓ จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี และอ่างทอง จึงได้ใช้โอกาสดังกล่าวขับเคลื่อน โครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรม ทั้งแผ่นดิน น้อมถวายเป็นพระราชกุศล ดังปรากฏในพื้นที่ จ.สระบุรี จ.อ่างทอง ที่ได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวไปแล้วนั้น ซึ่งนับเป็นมงคลอย่างยิ่งแด่แผ่นดินไทย ด้วยการสวดประกาศราชธรรมไปในแต่ละพื้นที่ ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นพ่อบ้านพ่อเมือง เป็นผู้นำข้าราชการและประชาชนเข้าร่วมปฏิบัติธรรม เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล นับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในแผ่นดิน ที่มีจุดประสงค์เพื่อหลอมรวมใจของข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่า ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วย ทศพิธราชธรรม.. หลักธรรมของผู้ปกครองแผ่นดิน ที่มีธรรมานุภาพอันไม่มีประมาณ อันเป็นไปเพื่อการชนะอุปสรรค ปัญหา ภัยอันตราย และมารทั้งปวงอย่างแท้จริง ที่กล่าวสรุปโดยธรรมเสมอว่า.. ธรรมย่อมชนะอธรรม.. ไม่ว่าในกาลใดสมัยใด
โครงการดังกล่าวเกิดมีขึ้นมาได้ ก็ด้วยความเห็นชอบของ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวมาด้วยตนเอง ในรูปแบบความไม่เป็นทางการ สู่ความเป็นทางการ.. ตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งเป็น “อธิบดีกรมการปกครอง” ซึ่งในขณะนั้นใช้ชื่อ “โครงการร้อยใจธรรม ร้อยอำเภอ.. สืบสานราชธรรม” โดยตั้งเป้าหนึ่งร้อยอำเภอทั่วทั้งแผ่นดินไทย ซึ่งสามารถทำได้ครบในสมัยที่ยกระดับขึ้นเป็นโครงการร้อยใจไทยฯ .. โดยจัดลำดับ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นอำเภอที่หนึ่งร้อย!!
เมื่อพูดถึงโครงการร้อยใจไทย สืบสานราชธรรมฯ ที่กำลังขับเคลื่อน โดยจังหวัดเป้าหมายต่อไปที่ ลพบุรี อุทัยธานี สงขลา และปัตตานี ที่จะดำเนินการในวันที่ ๒๖-๒๗ มิถุนายน และ ๓-๔ กรกฎาคม ๒๕๖๘ นี้ นับเป็นเรื่องที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์.. ที่ควรสนับสนุน เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ ความคิดความเห็น อันถูกต้องตรงตามธรรม โดยการนำราชธรรมทั้ง ๑๐ ที่เรียกว่า ทศพิธราชธรรม มาขัดเกลากล่อมเกลาจิตใจ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ก่อความสำนึกเชิงจริยธรรมที่ถูกต้อง ที่สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้จริง เพื่อการเข้าถึงประโยชน์และความสุขโดยธรรมทั้งแผ่นดิน
ทศพิธราชธรรม .. จึงถูกบอก.. ถูกแสดง.. บัญญัติ.. ตั้งขึ้น.. ในพระพุทธศาสนา เพื่อเปิดเผย จำแนก แจกแจง ให้ผู้มีหน้าที่บริหารกิจการบ้านเมือง ปกครองดูแลประชาชน ด้วยหลักธรรมอันประเสริฐ ที่จะนำไปสู่แบบแผนในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อการพัฒนาจิตใจตนเอง ในฐานะผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อมหาชน.. ต่อสังคมประเทศชาติ ให้เป็นไปอย่างมีคุณธรรมและความดี.. อยู่เหนือความรู้ความสามารถที่สามารถฝึกฝนเรียนรู้กันไม่ยากในโลกสมัยปัจจุบัน.. เพื่อการสร้างพื้นฐานจริยธรรมให้กับสังคม.. ประเทศชาติ
ผู้มีคุณธรรม-ความดี นำหน้าความรู้-ความสามารถ จึงสามารถสร้าง จริยธรรม ให้เป็นไปตามฐานะของตน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อบุคคลนั้นๆ ในทุกฐานะหน้าที่.. อันควรกล่าวว่า.. แม้คนกวาดถนน เทหยากเยื่อ คนหาเช้ากินค่ำ ก็ควรมี จริยธรรม..
จริยธรรม จึงเป็นเครื่องหมายประกันชีวิตของคนในสังคมอารยธรรม ว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม อันคู่ควรตามฐานะของตนในสังคม.. ที่ประกันได้ว่า การกระทำของเขาที่เป็นไปในสังคม ซึ่งต้องประสานสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ ว่า จักไม่เป็นโทษภัย.. จะไม่เป็นอันตราย.. ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
วันนี้ของสังคมแห่งมนุษยชาติ ที่ต่างมุ่งแสวงหาความรู้ทางโลกวิทยาเป็นสำคัญ จึงประสบกับปัญหาการขาดแคลน คุณธรรม-ความดี.. ก่อเกิด วิกฤตการณ์จริยธรรม..
โดยเฉพาะเมื่อคนในสังคม.. ที่มีอำนาจหน้าที่การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ให้ความสำคัญ มีความประพฤติไร้จริยธรรม สังคม ประเทศชาติ จึงประสบกับปัญหาและอุปสรรค อันเกิดจากความรกรุงรังด้วยหมู่ชนที่ ยากจนเข็ญใจ ในคุณธรรม-ความดี..
ยิ่งหมู่มวลมนุษย์ผู้ใคร่ในกามคุณ พากันหลงใหลเข้าไปสู่วังวนของวัตถุกามชั้นสูงในยุคสังคมดิจิทัล.. ยิ่งได้เห็นปรากฏการณ์ของคนในสังคม.. ที่แสดงออกถึงความไร้เดียงสาทางคุณธรรม.. อ่อนแอทางจริยธรรม จนต้องอุทานออกมาว่า.. คงจะถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องเข้าสู่ภาวะเสื่อมสูญสิ้นสลาย!!..
แม้จะยึดมั่นในหลักธรรม ที่ประกาศสัจจะว่า.. ทุกสรรพสิ่งไม่จีรังยั่งยืน.. มีเกิดขึ้น ก็ต้องมีดับไป เป็นธรรมดา..
แม้จะเข้าใจในหลักธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง ว่า..
สัพเพ ธัมมา อนัตตา…
แม้จะเข้าใจ และเข้าใจ.. ว่า ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมัน..!!!
แต่ก็ยังต้องทำใจ ต้องเข้าใจในความเป็นจริงของเรื่องราวทั้งปวงในทางโลกว่า.. มันเป็นอย่างนั้นแหละ.. มันต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าดีหรือชั่ว.. มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ให้คุณหรือให้โทษ.. มันไม่เปลี่ยนแปลงจากความเป็นอย่างนี้ไปได้เลย
ยิ่งอยู่ในสมัยที่ หมู่ชนห่างไกลคุณธรรม-ความดี ไร้จริยธรรม.. ไม่เคารพในธรรม.. ไร้ศาสนา.. ก็ยิ่งได้พบเห็นพฤติกรรมความวิปลาสทางจิตใจที่เกินการเยียวยา.. จนยากจะพูดจาและสั่งสอน และไม่ต้องกล่าวถึงเฉพาะฝ่ายฆราวาสหรือคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน.. เพราะแม้แต่ในหมู่นักบวช.. บรรพชิต เรือนเตี้ย ไร้วินัยทั้งหลาย ก็ยังพากันละทิ้งอริยประเพณี.. พระธรรมวินัยที่เคยถือปฏิบัติกันมา ซึ่งแพร่ระบาดกันมากในปัจจุบัน.. จนมองดูออกเป็นเรื่องธรรมดาของความชั่ว-ความเลว จนเริ่มแยกไม่ออกว่า อะไรดี-อะไรชั่ว..
จึงไม่แปลก หากโลกจะสูญสลาย ไร้ธรรมชาติที่ให้คุณ.. ตราบใดที่ สัตว์โลกยังมืดมนอนธการ.. ไร้เดียงสา ปัญญาอ่อน.. ไม่ยอมรับในสัจธรรม.. มีแต่วัตถุธรรมขึ้นหน้า!!
ดังนั้น ผลพวงแห่งการขาดจริยธรรม.. อันสืบเนื่องมาจากเหตุที่ขาดคุณธรรม-ความดี จึงปรากฏและส่งผลทำให้ธรรมชาติที่มีประโยชน์แปรเปลี่ยนเป็นไร้ประโยชน์.. จากคุณกลายเป็นโทษ อย่างมิอาจโทษใครได้เลย นอกจากจะโทษพวกเราในสังคม ว่า.. ทำบาปกรรมอะไรมาหนอ.. จึงได้มาเกิดในสังคมที่ง่อยเปลี้ยเสียขา.. พิการทางจิตใจเช่นนี้
การสั่งสมของปัญหาที่มากไปด้วยปมเขื่อง.. จึงกลายเป็นการทับซ้อนและซับซ้อนในเงื่อนไขเหตุปัจจัยของปัญหานั้นๆ ในสังคม.. ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคมากมาย และให้ส่งผลกระทบในทุกด้านต่อการดำเนินชีวิตของสัตว์ในสังคมนั้นๆ.. แม้มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล.. เป็นไปเฉพาะตน.. แต่ด้วยความเกี่ยวเนื่องกันในการมี กรรมเป็นเผ่าพันธุ์.. จึงต้องรับผลที่ส่งต่อกันและกัน.. จนให้ยากจะเข้าใจว่า.. เอ้า! เรื่องเหล่านี้เราไม่เคยกระทำ.. ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย.. แต่ทำไมต้องมาร่วมรับผลกรรมที่ก่อเกิดขึ้นโดยบุคคลอื่นในสังคมนั้น…. ไม่ว่าปัญหาทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง การขาดความรับผิดชอบทางสังคม และการละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน.. เป็นต้น
ตัวอย่าง ดังเรื่องที่มีการพูดกันมากขึ้นว่า.. นักการเมืองพวกนี้ เราไม่ได้เป็นคนเลือกเลย.. แล้วทำไมเราต้องมารับผลจากการกระทำของคนเหล่านี้.. ซึ่งมันควรจะเป็นผลพวงของพวกที่เลือกพวกเขาเข้ามา.. มากกว่า.. จึงจะยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม.. หากเราหยุดบ่น.. หยุดคิดวิตกฟุ้งซ่านสักนิด แล้วกลับมาใช้สติปัญญา พิจารณาให้เข้าใจในกฎธรรมชาติ.. ที่สร้างกฎเกณฑ์ของกรรมมาควบคุมสัตว์ทั้งหลาย ให้เป็นไปในอำนาจของกรรม.. เราจะเข้าใจเรื่องราวของความเป็นไปของโลกใบนี้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความเข้าใจในความเป็นสัตว์โลกทั้งหลาย ภายใต้ แรงกรรม.. ที่ไม่ต่างกัน
ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามธรรม.. ที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกรรม.. จะนำพาให้เราลุกขึ้นมาให้ความเคารพ.. ด้วยความเชื่อมั่นในกรรมและวิบาก.. ที่จักแสดงสัจธรรมให้เห็นปรากฏว่า.. ที่สุด.. ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม ดังพุทธภาษิตที่ว่า อำนาจเป็นใหญ่ในโลก.. อำนาจแห่งกรรมเป็นใหญ่เหนืออำนาจทั้งปวง… อันเราท่านทั้งหลาย ไม่ควรประมาท.. เพราะที่สุดแห่งความประมาท.. ต่ออำนาจกรรม.. ปรามาสต่ออำนาจแห่งธรรม.. ย่อมประสบแต่ความฉิบหายส่วนเดียว!!…
เจริญพร
dhamma_araya@hotmail.com