เช็คสัญญาณลงทุนเปิดกิจการใหม่แนวโน้มระดับต่ำ ทั้งปี 1,600 แห่ง
จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 68 เกี่ยวกับการเปิด ขยาย เลิกกิจการ ทำให้พบว่า
มีจำนวนโรงงานที่เปิดกิจการทั้งหมด 601 แห่ง มีมูลค่า 80,534.18 ล้านบาท แบ่งเป็น
- ม.ค. จำนวน 147 แห่ง มูลค่า 18,119.94 ล้านบาท
- ก.พ. จำนวน 144 แห่ง มูลค่า 22,858.73 ล้านบาท
- มี.ค. จำนวน 94 แห่ง มูลค่า 13,552.01 ล้านบาท
- เม.ย. จำนวน 117 แห่ง มูลค่า 10,248.99 ล้านบาท
- พ.ค. จำนวน 99 แห่ง มูลค่า 15,754.51 ล้านบาท
โรงงานขยายกิจการ 84 แห่ง มูลค่า 12,649.28 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ม.ค. จำนวน 14 แห่ง มูลค่า 1,499.64 ล้านบาท
- ก.พ. จำนวน 22 แห่ง มูลค่า 954.42 ล้านบาท
- มี.ค. จำนวน 22 แห่ง มูลค่า 6,042.53 ล้านบาท
- เม.ย. จำนวน 12 แห่ง มูลค่า 2,374.45 ล้านบาท
- พ.ค. จำนวน 14 แห่ง มูลค่า 1,778.24 ล้านบาท
โรงงานที่ปิดกิจการไปแล้ว 258 แห่ง มีมูลค่า 8,283.26 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ม.ค. จำนวน 42 แห่ง มูลค่า 1,302.74 ล้านบาท
- ก.พ. จำนวน 47 แห่ง มูลค่า 1,485.60 ล้านบาท
- มี.ค. จำนวน 51 แห่ง มูลค่า 902.19 ล้านบาท
- เม.ย. จำนวน 82 แห่ง มูลค่า 3,549.16 ล้านบาท
- พ.ค. จำนวน 63 แห่ง มูลค่า 1,043.57 ล้านบาท
เลิกจ้างงานทั้งหมด 8,883 คน ประกอบด้วย
- ม.ค. จำนวน 1,614 ราย
- ก.พ. จำนวน 1,293 ราย
- มี.ค. จำนวน 798 ราย
- เม.ย. จำนวน 1,655 ราย
- พ.ค. จำนวน 3,523 ราย
แหล่งข่าวจาก กรอ. ระบุกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากข้อมูลภาพรวมล่าสุดของภาคอุตสาหกรรมในปี 2568 แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 2568 จะต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันรอบด้าน ทั้งภายในประเทศและจากเศรษฐกิจโลก แต่ภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมยังคงมี ทิศทางการขยายตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ข้อมูลล่าสุดระบุว่าในไตรมาสแรกของปี 2568 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัว 1.61% อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอุตสาหกรรม หรือ GDP อุตสาหกรรมยังสามารถขยายตัวได้ 0.60% และเมื่อพิจารณาในช่วง 4 เดือนแรกของปี พบว่า MPI หดตัวเพียง 0.7% เท่านั้น
จากการประเมินแนวโน้มทั้งปี 2568 คาดว่า MPI มีโอกาสขยายตัวในช่วง 0.0 – 1.0% ขณะที่ GDP ภาคอุตสาหกรรมอาจขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 0.5 – 1.5% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาวะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปแม้จะยังเผชิญกับความท้าทายอยู่มาก
ส่วนแนวโน้มการเปิด-ปิดโรงงาน มีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง จากข้อมูลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 พบว่าโรงงานเปิดใหม่เฉลี่ยเพียง 120 โรงงานต่อเดือน ลดลงจากปี 2567 ที่เฉลี่ย 170 โรงงานต่อเดือน หากแนวโน้มนี้ยังคงอยู่ คาดว่าจำนวนโรงงานที่เปิดใหม่ทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 1,400 – 1,600 โรงงาน ซึ่งเป็นระดับต่ำ
จะเห็นว่าเป็นปีที่ท้าทายมากสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) แม้ว่าจะมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องปิดตัวลงซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยกดดันที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ รวมถึงปัญหาภาคครัวเรือนและการบริโภคภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การลงทุนในภาคเอกชนที่มีทิศทางชะลอตัวลงอันเกิดจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจโลกทั้งนโยบายทางการเงินและราคาพลังงานที่ผันผวน รวมถึงเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศเริ่มมีบทบาทมากขึ้น และปัจจัยภายนอกอื่นๆ อีกมากมาย
หากแต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็มีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในหลายกลุ่มสินค้าซึ่งสินค้าส่งออกหลักที่ส่งผลบวก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยทอง, เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทแผงสวิทซ์และแผงควบคุมไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีมาตรการการปรัลบลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้ ลดต้นทุนการผลิต และเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนของภาคเอกชนในระยะต่อไป ซึ่งเป็นจุดเเข็งที่จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถก้าวผ่านความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นได้
นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดี กรอ. กล่าวว่า จะมุ่งเน้นการเร่งผลักดัน ส่งเสริมสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเพื่อให้อุตสาหกรรมไทยฟื้นตัว และเติบโตไปพร้อมกัน ด้วยการสนับสนุนให้มีความสามารถในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม โดยการปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับผลิตภาพการผลิต การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การทดแทนการนำเข้า และการขยายฐานการตลาด
รวมถึงผลักดันกระบวนการผลิตตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ครบวงจรตั้งแต่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การบริหารจัดการให้เกิดของเสียน้อยที่สุดหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และสร้างทักษะแรงงานที่สอดรับกับระบบดิจิทัลให้การผลิตสินค้า เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน มีความยืดหยุ่นต่อผลกระทบเชิงลบ เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาดโลก เติบโตอย่างมั่นคง และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกับภาคการผลิตทั่วโลก
ด้านปัจจัยที่ส่งผลกระทบโรงงานอุตสาหกรรมไทยปิดตัวนั้น มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ โดยปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการปิดตัวของโรงงานอุตสาหกรรมไทย เช่น สงครามซึ่งเกิดจากความขัดแย้้้งระหว่างประทศ สงครามทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ มาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เป็นต้น
ส่วนปัจจัยภายในก็เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรม เช่น ปัญหาสินค้าราคาถูก ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ปัญหาจากการโดนสวมสิทธิของสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกขยายตัว ซึ่งการสวมสิทธิจะใช้วิธีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ขายดีเหล่านั้นเข้ามาในปริมาณเพิ่มขึ้น และสวมสิทธิเพื่อการส่งออกโดยไม่ผ่านกระบวนการผลิตในประเทศ และปัญหากำลังซื้อหรือกำลังการผลิตที่ลดลงอันเกิดจากมาตรการเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน เป็นต้น
อีกทั้งยังมีปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต้องปรับตัวให้ทัน คือการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตของอุตสาหกรรมให้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาฝีมือแรงงานให้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ทันต่อสภาวการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
“ภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 68 ยังคงเดินหน้าได้ท่ามกลางความท้าทาย การผลิตและ GDP อุตสาหกรรมยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้ในอัตราที่ไม่สูงนัก อัตราการเปิดโรงงานใหม่ชะลอตัว แต่ยังมีโอกาสเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และถึงแม้จำนวนโรงงานที่เลิกกิจการเพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มที่ไม่สามารถแข่งขันได้หรือได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น ด้วยปัจจัยสนับสนุนเชิงนโยบายและการส่งออกที่ยังเติบโตในหลายกลุ่มสินค้า ภาคอุตสาหกรรมไทยยังมีศักยภาพที่จะก้าวผ่านความเสี่ยงในปีนี้ และสร้างโอกาสใหม่ในอนาคต หากสามารถปรับตัวและรับมือกับความผันผวนได้อย่างทันท่วงที”