F1: The Movie รีวิว ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากคำว่า “หนังโคตรเท่”
ตอนเห็นหนังตัวอย่างเรื่องนี้ครั้งแรกบอกได้เลยว่า มันต้องเป็นสูตรที่ดีแน่นอน หนังสูตรที่หมายถึงคือ เกิดเรื่องราวดราม่าไม่ดี พลิกไปมา สุดท้ายจบด้วยดี สำหรับภาพยนตร์ F1: The Movie ที่นำแสดงโดย แบรด พิตต์ (Brad Pitt) และคู่หูเด็กใหม่ แดมสัน ไอดริส (Damson Idris) ทำให้หนังได้ความโคตร “เท่” เข้าไปอีก ซึ่งการผู้กำกับมือดีอย่าง โจเซฟ โคซินสกี (Joseph Kosinski) จาก Top Gun: Maverick ยิ่งทำให้เราเห็นว่างานภาพจะต้องสุดยอดแบบไม่ต้องสงสัย
Related articles
หนังเข้าใหม่ น่าดู ประจำเดือนมิถุนายน 2025
“A Useful Ghost (ผีใช้ได้ค่ะ)” รางวัลคานส์ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือจุดเริ่มต้นของการยกระดับวงการภาพยนตร์ไทย
มัน สะใจ ซึ้ง เงียบสงบ ในเวลาเดียวกัน
Spoiler Alert!!! F1: The Movie (อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาไม่มากก็น้อย)
Lifestyle Asia rating: 4.5/5
ประเภท: แอ็คชั่น, ดราม่า, กีฬา, มอเตอร์สปอร์ต
นักแสดงนำ:
Brad Pitt รับบท Sonny Hayes
Damson Idris รับบท Joshua Pearce
Javier Bardem รับบท Ruben Cervantes
Kerry Condon รับบท Kate McKenna
Tobias Menzies รับบท Peter Banning
Sarah Niles รับบท Bernadette
ผู้กำกับ: Joseph Kosinski
เวลา: 2 ชั่วโมง 35 นาที
ดูได้ที่ไหน: ทุกโรงภาพยนตร์
ดูได้เมื่อไหร่: 26 มิถุนายน 2025
สิ่งที่เราชอบใน F1: The Movie
ไม่รู้จะพูดเกินจริงไปหรือไม่ เราชอบแทบทุกอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ถ้าคุณเป็นชอบรถ ชอบกีฬาความเร็ว มอเตอร์สปอร์ต เพราะ Formula 1 คือสุดยอดการแข่งขันรถบนโลกใบนี้ จนใคร ๆ ก็อยากดึงมาแข่งในประเทศตัวเอง (แม้แต่ไทยก็ตาม) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพบนสนามแข่งที่ทางทีมงานภาพยนตร์ได้ Access ทุกอย่างจาก F1 ในการถ่ายทำทุกสนามเพื่อให้เนียนไปกับการแข่งขันจริง อีกทั้งโปรดิวเซอร์หนังก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ผู้ที่จัดเจนบนโลกความเร็วรถสูตร 1 มาอย่างยาวนานอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) นั้นเอง
แถมความเท่และเสน่ห์อันเหลือล้นของ แบรด พิตต์ ในบท ซอนนี เฮย์ส นักขับวัยเก๋าที่กลับมาแข่งรายการ F1 เพื่ออยากสานเจตนารมณ์ตัวเองในช่วงวัยรุ่น แม้ชีวิตจริงในวัยเข้า 60 แล้วก็ยังเท่เหมือนเดิม ยิ่งเรารู้ว่าเบื้องหลังซูเปอร์สตาร์ทั้งฟิตร่างกายและขับรถจริง ยิ่งทำให้เราต้องซูฮกกันเลยทีเดียว ไม่นับ แดมสัน ไอดริส ที่รับบท โจชัว เพียร์ซ คู่หูหน้าใหม่ได้ลงอย่างลงตัว แถมบทอดีตเพื่อนร่วมทีมและเจ้าของทีม ที่นักแสดงฝีมือดีอย่าง ฮาเวียร์ บาเดม ที่ถ่ายทอดบทบาทของเจ้าของทีมที่กำลังถูกยุบ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง
แม้รถของพระเอกที่แข่งในหนังจะเป็นรถ F2 ที่ดัดแปลง แต่เพื่อให้ทุกคนสามารถขับได้แล้วได้ช็อตถ่ายที่แข่งรถจริงนั้นมีความสมจริง มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเรื่องยังมีการถ่ายทำโดยใช้ iPhone 15 Pro จัดเตรียมโมดูลกล้องที่กำหนดเอง และชิปซีรีส์ A ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการถ่ายทำบนรถยนต์ แถมถ้าใครใช้ของ Apple คุณจะได้สัมผัส Haptic Trailer ตัวอย่างภาพยนตร์สัมผัสเป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยให้ผู้ชมสัมผัสเสียงคำรามของเครื่องยนต์ และการเคลื่อนไหวของรถผ่าน iPhone แบบสมจริงสมจังมากขึ้น ยังไม่นับการถ่ายทำด้วย IMAX ที่ใช้เทคนิคเดียวกับการถ่ายเรื่อง Top Gun ที่ได้พัฒนาระบบกล้องต้นแบบ ซึ่งรวมถึงระบบ Rialto รุ่นพิเศษของ Sony กล้องเหล่านี้มีขนาดเล็กและเบาพอที่จะติดตั้งภายในและบนรถแข่งได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานมากนัก โดยสามารถบันทึกภาพคุณภาพสูงระดับ IMAX จากมุมที่ไม่ซ้ำใครได้
แม้ตัวหนังเองจะเป็นหนังสูตรสำเร็จไปเสียหน่อย ก็ประมาณว่า ดูโอคู่หูที่ไม่ถูกกันตอนแรก แต่ก็๋มีเหตุการณ์ให้ต้องจับมือร่วมกัน แต่ในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านไปในหนังนั้น ทำให้คุณตื่นเต้นความเร็ว ความอึดอัด ความดีใจ อะดรีนาลีน ไหลพุ่งพวยตลอดเวลา อีกทั้งถ้าใครเป็นแฟน F1 คุณจะได้เห็นรถจากทีมต่าง ๆ โผล่มาโชว์หน้าโชว์ตาผ่านจอในหนังแทบจะทุกทีมไม่ว่าจะ Aston Martin, Mercedes, Ferrari, Renault และอื่น ๆ อีกมากมาย ยังไม่นับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงการแข่งขันในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ยกตัวอย่าง เช่น มาร์ติน ดอนเนลลี (Martin Donnelly) เกิดอุบัติเหตุที่ Jerez ในปี 1990 แล้วกระเด็นออกจากรถจนเกิดอุบัติเหตุหนัก ซึ่งในหนังตัว ซอนนี เฮย์ส ก็กระเด็นออกจากรถอย่างรุนแรงช่วงวัยหนุ่ม เป็นการอ้างอิงจากเหตุการณ์นี้นั้นเอง
มากกว่านั้นงบประมาณของหนังเรื่องนี้ทะลุไปถึง 200-300 ล้านเหรียญ ซึ่งนับว่าสูงมาก เพราะฉะนั้นหนังที่ลงทุนขนาดนี้แถมเป็นหนังออริจินัลจาก Apple และ Warner Bros. ที่จับมือร่วมกัน นับเป็นสิ่งที่สร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับโลกภาพยนตร์อีกครั้ง ใครที่เป็นแฟนเดนตายของ F1 พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ลืมบอกไปอีกอย่างนอกจากตัวผู้กำกับแล้ว ยังมีทีมเบื้องหลังระดับเทพอย่าง โปรดิวเซอร์ เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer), คนเขียนบท เอเรน ครูเกอร์ (Ehren Kruger), และภาพ คลอดิโอ มิรานดา (Claudio Miranda) และนักประพันธ์ ฮันส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer)
สิ่งที่เราไม่ค่อยชอบ
เรื่องนี้ผมคงไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะชอบไปหมดทุกอย่างของหนังจริง ๆ แต่ถ้าจะแอบน่าเบื่อหน่อย เพราะมันคือหนังสูตรที่สามารถเอาชนะได้แบบทุกอย่างแม้จะตะกุกตะกักไปหน่อยก็ตาม แต่ด้วยองค์ประกอบและปัจจัยต่าง ๆ ของหนัง มันดีเสียทุกอย่าง เราก็สามารถมองข้ามเรื่องนี้ไปได้แบบทันทีทันใด
เรื่องย่อ F1: The Movie
ภาพยนตร์เรื่อง “F1: The Movie” เล่าเรื่องราวของ ซอนนี่ เฮย์ส (รับบทโดย แบรด พิตต์) อดีตนักแข่งรถ Formula 1 ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในช่วงทศวรรษ 1990 แต่ชีวิตนักแข่งของเขาต้องจบลงอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุร้ายแรงบนสนามแข่ง
สามสิบปีต่อมา ซอนนี่ใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อนและเป็นนักแข่งรับจ้างในรายการเล็กๆ จนกระทั่งเขาได้รับการติดต่อจาก รูเบน เซร์บันเตส (รับบทโดย ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) อดีตเพื่อนร่วมทีมและปัจจุบันเป็นเจ้าของทีม F1 ที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักชื่อ APXGP ซึ่งจวนเจียนจะถูกขายทิ้ง
รูเบนโน้มน้าวให้ซอนนี่กลับมาแข่ง F1 อีกครั้ง เพื่อช่วยกอบกู้ทีมและทวงคืนความยิ่งใหญ่ ซอนนี่ต้องมาขับเคียงข้าง โจชัว เพียร์ซ (รับบทโดย แดมสัน ไอดริส) นักแข่งดาวรุ่งพุ่งแรงของทีม ที่มีความสามารถแต่ก็มีความขัดแย้งกับซอนนี่ในตอนแรก
เรื่องราวจะพาผู้ชมไปติดตามการเดินทางของซอนนี่ในการกลับมาสู่สังเวียนความเร็วสูง การเผชิญหน้ากับปีศาจในอดีตของตัวเอง และการสร้างความสัมพันธ์กับโจชัว ทั้งสองคนจะต้องเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อพา APXGP ที่เคยรั้งท้าย กลับมาผงาดบนสนามแข่ง F1 อีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเน้นเรื่องราวของการไถ่ถอนความผิดพลาดในอดีต มิตรภาพ และความมุ่งมั่นในการไล่ตามความฝันในโลกของการแข่งขัน Formula 1 ที่ดุเดือดและเข้มข้น
อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ ไลฟ์สไตล์คนเมือง ร้านอาหารเด็ดดัง แฟชั่นล่าสุด สุขภาพ และความงาม พร้อมกับ เรื่องราวทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้ที่ Lifestyle Asia
Hero & Featured Photo Credit: F1 via IMDB
Note : The information in this article is accurate as of the date of publication.