26 ก.ค. วันอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าชายเลน 'ยูเนสโก' เร่งปกป้องคาร์บอนสีน้ำเงิน
วันที่ 26 กรกฎาคม ของทุกปี ถูกกำหนดโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็น International Day for the Conservation of the Mangrove Ecosystem (วันอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าชายเลนสากล) เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของป่าชายเลนต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนชายฝั่งทั่วโลก ซึ่งในปี 2568 นี้ ภาวะโลกร้อนและวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ป่าชายเลน เป็นระบบนิเวศชายฝั่งที่มีชื่อเรียกหลากหลายทั้งในภาษาไทยและภาษาอื่นๆ ในบ้านเราเรียกกันว่า ป่าโกงกาง, ป่าพังกา หรือเรียกรวมๆ ว่า ป่าชายเลน ส่วนในภาษาอังกฤษมักใช้คำว่า “Mangrove Forest” หรือบางครั้งก็ใช้คำว่า “Intertidal Forest” ซึ่งหมายถึงป่าที่ขึ้นในเขตน้ำขึ้นน้ำลง โดยเฉพาะบริเวณดินเลนริมชายฝั่งทะเล
คำว่า “mangrove” มีรากศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกสคำว่า “mangue” ซึ่งใช้เรียกกลุ่มพืชที่ขึ้นอยู่ตามพื้นที่น้ำกร่อยและโคลนตมชายฝั่งทะเล คำนี้แพร่หลายไปในหลายประเทศแถบลาตินอเมริกา โดยแต่ละประเทศก็มีชื่อเรียกเฉพาะของตน เช่น ในประเทศมาเลเซีย เรียกว่า “manggi-manggi” ขณะที่ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า “manglier”
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ป่าชายเลนถูกกล่าวถึงครั้งแรกในยุคของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งพบป่าชนิดนี้บริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะคิวบา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์จึงเริ่มให้ความสนใจในระบบนิเวศชนิดนี้มากขึ้น เพราะเป็นทั้งแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แนวกันชนธรรมชาติ และแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญของโลก
ประโยชน์ป่าชายเลน
ป่าชายเลนมีประโยชน์มหาศาลต่อทั้งธรรมชาติและมนุษย์อย่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันคลื่นลมแรง น้ำทะเลหนุน และการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำอย่างปลากะพง กุ้ง ปู และหอย ทำให้ชาวประมงมีรายได้เลี้ยงครอบครัวอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าป่าบนบกหลายเท่า ช่วยลดภาวะโลกร้อนอย่างได้ผล และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย เรียกได้ว่าป่าชายเลนคือ "แนวป้องกันธรรมชาติ" ที่เราควรช่วยกันดูแลก่อนจะสายเกินไป
- ป่าชายเลนเป็นหัวใจของระบบนิเวศชายฝั่ง
- ป้องกันภัยธรรมชาติ เช่น คลื่นยักษ์ สึนามิ และการกัดเซาะชายฝั่ง
- เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง ปู และหอย
- ดูดซับคาร์บอน มากกว่าป่าฝนเขตร้อนถึง 4–10 เท่าต่อพื้นที่หนึ่งหน่วย
- สร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ผ่านประมงพื้นบ้านและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ข้อมูลจากสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN World Conservation Congress : IUCN) ระบุว่า ป่าชายเลนทั่วโลกสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 11 พันล้านตัน และให้บริการทางระบบนิเวศ เช่น การป้องกันภัยพิบัติ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.4 ล้านล้านบาท/ปี (65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ครึ่งของป่าชายเลนในโลกเสี่ยงมาก
ป่าชายเลนของโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติอย่างแท้จริง ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งจากที่เคยมี โดยรายงานล่าสุดในปี 2024 จาก IUCN และ Global Mangrove Alliance ระบุว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีพื้นที่ป่าชายเลนหลงเหลืออยู่ประมาณ 14.8 ล้านเฮกตาร์ กระจายตัวในกว่า 120 ประเทศ
แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กว่า 50% ของระบบนิเวศป่าชายเลนทั่วโลก อยู่ในสถานะ "เสี่ยง" หรือ "เสี่ยงขั้นรุนแรง" และหากไม่มีการฟื้นฟูหรือป้องกันอย่างจริงจัง อาจมีมากถึง 25% ของพื้นที่ป่าชายเลน ที่จะหายไปภายใน 50 ปีข้างหน้า จากปัจจัยอย่าง น้ำทะเลหนุนสูง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และการขยายฟาร์มกุ้ง
นอกจากนี้ การแผ้วถางเพื่อพัฒนาเมือง ท่าเรือ โครงการอุตสาหกรรม และมลพิษจากของเสีย ล้วนเป็นตัวเร่งที่ทำให้การสูญเสียป่าชายเลนเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงขึ้นทุกวัน
สถานการณ์ในประเทศไทย
พื้นที่ป่าชายเลนในความรับผิดชอบของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่ 24 จังหวัด ชายฝั่งทะเล (จากการแปลภาพถ่ายดาวเทียมด้วยความละเอียดสูง ปี 2563) เป็นพื้นที่ป่าชายเลนคงสภาพ จำนวน 1.73 ล้านไร่ พบมากที่สุดบริเวณชายฝั่งอันดามันตอนล่าง ประมาณ 712,561.22 ไร่ รองลงมา พบบริเวณชายฝั่งอันดามันตอนบน และภาคตะวันออก 460,180.47 ไร่ และ 222,461 ไร่
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะยังมีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ในหลายพื้นที่ แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้านที่คุกคามความยั่งยืนของระบบนิเวศเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาแนวชายฝั่งเพื่อรองรับการท่องเที่ยว ที่มักเข้ามาแทนที่พื้นที่ธรรมชาติเดิม, การเปลี่ยนพื้นที่ป่าชายเลนเป็นฟาร์มกุ้ง ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลของระบบนิเวศ, โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ดำเนินการโดยขาดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้น้ำเค็มรุกล้ำเข้ามามากขึ้น และส่งผลต่อการทับถมของตะกอนดินตาม
ประเทศที่มีป่าชายเลนมากที่สุดในโลก
- 🇮🇩 อินโดนีเซีย (~30% ของพื้นที่ป่าชายเลนโลก)
- 🇧🇷 บราซิล
- 🇳🇬 ไนจีเรีย
- 🇲🇽 เม็กซิโก
- 🇦🇺 ออสเตรเลีย
ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีป่าชายเลนในระดับสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่ติดอันดับ 5 แรกของโลก
ทางรอดของป่าชายเลน
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์
- ฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมด้วยพืชพื้นถิ่น
- เพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล
- สร้างการรับรู้ผ่านการศึกษาและสื่อมวลชน
- ติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอด้วยเทคโนโลยี (เช่น ดาวเทียม และ AI)
วันอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าชายเลนสากล 2568 เป็นโอกาสสำคัญในการตระหนักถึงคุณค่าของป่าชายเลนที่ไม่เพียงแต่รักษาชีวิตสัตว์ทะเล แต่ยังรักษาชีวิตของมนุษย์ที่พึ่งพิงทะเลด้วย หากเรายังเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระบบนิเวศ ป่าชายเลนอาจกลายเป็นเพียงความทรงจำ