มส.เห็นชอบแก้กฎนิคหกรรม เร่งพิจารณา "ปาราชิกพระเสพเมถุน" ให้จบใน 10 วัน
ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 18 โดยมีสมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส เป็นประธานการประชุม ภายหลังการประชุมเป็นเวลากว่า 1.30 ชั่วโมง รศ.ดร.ชัชพล ไชยพร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการพระพุทธศาสนา รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม และศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษามส. ร่วมกันแถลงข่าว โดยศ.พิเศษ ธงทอง กล่าวว่า ที่ประชุมมส.ได้เห็นชอบร่างกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการลงนิคหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2568) เนื่องจากฉบับเดิมมีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2521 อีกทั้งขั้นตอนในการลงนิคหกรรม (การลงโทษตามพระธรรมวินัย) ยังใช้เวลานาน ทั้งยังมีขั้นตอนพิจารณาชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา แต่ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้สามารถหาพยานหลักฐานได้ง่ายขึ้น เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอธิกรณ์ (เรื่องที่เกิดขึ้นอันสงฆ์ต้องจัดต้องทำ)
ดังนั้นในร่างกฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการลงนิคหกรรม ฉบับที่ 2 จึงได้ปรับแก้เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โดยอำนาจในการลงนิคหกรรมยังคงเป็นของคณะสงฆ์ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่ในการสนับสนุนข้อมูล หลักฐาน จากนั้นให้พศ.ทำหน้าที่ในการนำเสนอคณะสงฆ์ และที่สำคัญ หากพบว่ามีหลักฐานชัดเจนในเรื่องความผิดวินัยต้องอาบัติปาราชิกในข้อการเสพเมถุนจะต้องดำเนินการให้ปาราชิกภายใน 10 วัน โดยที่ไม่มีขั้นตอนในการอุทธรณ์ ฏีกา อีกต่อไป
และหากพบว่าขั้นตอนในการอธิกรณ์ของพื้นที่ใดล่าช้า ให้พศ.นำเสนอมส.พิจารณาให้คณะกรรมการกลางที่มส.ตั้งขึ้น รับเรื่องมาพิจารณาแทน และจะต้องวินิจฉัยภายใน 10 วันนับตั้งแต่ได้รับเรื่อง โดยหากพบว่าเป็นความผิดถึงขั้นปาราชิก คณะกรรมการกลางจะมีอำนาจในการให้สละสมณเพศได้ทันที
รศ.ดร.ชัชพล กล่าวว่า สำหรับกฎมหาเถรสมาคมอีกฉบับที่มส.มีมติเห็นชอบ คือ ร่างกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2568) ซึ่งฉบับเดิมมีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2538 โดยในฉบับใหม่จะมีการระบุว่า หากพระสงฆ์ที่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ หรืออาบัติรุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นปาราชิก เช่น ความผิดครุกาบัติ สังฆาทิเสส หากไม่สละสมณเพศจะทำให้เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์ ให้สละสมณเพศได้