ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง 3 ราย อินไซด์หุ้น AH สั่งปรับรวม 7.17 ล้านบาท
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ในปี 2566 และตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 3 - 14 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 ของ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ที่มีกำไรสุทธิ 600.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาสก่อนหน้าของปีเดียวกันและไตรมาสเดียวกันของปี 2564 อันเป็นข้อมูลที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น AH ซึ่งเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 เวลา 18.03 น. พบการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิด 3 ราย ดังนี้
(1) นายวิโรจน์ พัชรวัฒนกูล ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทย่อยของ AH ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในได้ และเป็นผู้อยู่กินฉันสามีของผู้บริหารรายหนึ่งของ AH ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้ซื้อหุ้น AH โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าวในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง อันเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 244(2) และ(5) ซึ่งมีบทกำหนดโทษ ตามมาตรา 296 มาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
(2) MRS. TEO LEE NGO ซึ่งเป็นกรรมการของ AH ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในได้ และเป็นภรรยาของผู้บริหารรายหนึ่งและเป็นมารดาของผู้บริหารอีกรายหนึ่งของ AH ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้ร่วมกับ (3) MR. KOH LIAN KING ซื้อหุ้น AH ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ MR. KOH LIAN KING โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าว
โดยสามารถแบ่งสัดส่วนหุ้น AH ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวได้ชัดเจนว่าส่วนใดเป็นของ MR. KOH LIAN KING และส่วนใดมี MRS. TEO LEE NGO เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง อันเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 243(1) 244(3) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือมาตรา 242(1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ซึ่งแก้ไขโดยฉบับที่ 5 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ตามลำดับ ทั้งนี้ ความผิดดังกล่าวมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 มาตรา 317/5 และมาตรา 317/11 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ซึ่งแก้ไขโดยฉบับที่ 5
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 3 รายดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้
(1) ให้นายวิโรจน์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 5,168,972 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน
(2) ให้ MRS. TEO LEE NGO ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,302,885 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 14 เดือน
(3) ให้ MR. KOH LIAN KING ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 695,722 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง