ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก 14 ประเทศ เริ่ม 1 ส.ค. ไทยถูกเก็บ Reciprocal Tariff ในอัตรา 36%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า (reciprocal tariff) จาก 14 ประเทศ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม
ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่กำหนดว่าอัตราภาษีศุลกากรบางประเภท ซึ่งเดิมกำหนดให้สิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม จะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ส่งจดหมายเกี่ยวกับภาษีศุลกากรไปยังหลายประเทศเพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับอัตราใหม่ของภาษีศุลกากรแบบที่เก็บในอัตราที่เท่ากัน (reciprocal tariff) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม
เว็บไซต์ทำเนียบขาว เผยแพร่ Fact Sheet: President Donald J. Trump Continues Enforcement of Reciprocal Tariffs and Announces New Tariff Rates ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ตามเวลาในสหรัฐ
เว็บไซต์ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินการโดยใช้ข้อมูลและคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการเจรจาการค้า
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ปรับแก้ไขอัตราภาษีศุลกากรเมื่อประมาณ 90 วันที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศได้ตกลงหรือเสนอที่จะลดอัตราภาษีศุลกากรและขจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรเพื่อมุ่งสู่ความสัมพันธ์ทางการค้าที่สมดุลมากขึ้นกับสหรัฐฯ
แม้จะมีความก้าวหน้าครั้งสำคัญและเป็นครั้งประวัติศาสตร์นี้ แต่การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ยังคงรุนแรง
แม้สหรัฐฯ จะเปิดรับการหารือและทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติม แต่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังดำเนินการเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าในอนาคต
ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งจดหมายถึงหลายประเทศเพื่อชี้แจงว่าตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ประเทศต่างๆ จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรreciprocal tariff อัตราใหม่ ซึ่งจัดทำมาเพื่อให้เงื่อนไขความสัมพันธ์การค้าทวิภาคีมีความเท่าเทียมกันมากขึ้นในอนาคต และเพื่อจัดการกับความมั่นคงของประเทศที่เกิดจากการขาดดุลการค้าสินค้าจำนวนมหาศาลของสหรัฐฯ
ในบางกรณี หลายประเทศจะต้องเสียภาษีศุลกากรแบบ reciprocal tariff ที่ปรับใหม่ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ประกาศไว้ในตอนแรกเมื่อวันที่ 2 เมษายน สำหรับบางประเทศ อัตราภาษีศุลกากรแบบ reciprocal tariff อาจสูงกว่าอัตราเดิม
ประธานาธิบดีอาจส่งจดหมายเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ประเทศที่ได้ส่งจดหมายไปในวันนี้ ได้แก่:
- ญี่ปุ่น (25%)
- เกาหลี (25%)
- แอฟริกาใต้ (30%)
- คาซัคสถาน (25%)
- ลาว (40%)
- มาเลเซีย (25%)
- เมียนมาร์ (40%)
- ตูนิเซีย (25%)
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (30%)
- อินโดนีเซีย (32%)
- บังกลาเทศ (35%)
- เซอร์เบีย (35%)
- กัมพูชา (36%)
- ไทย (36%)
ที่มาภาพ:https://www.cnbc.com/2025/07/07/trump-tariffs-trade-letters-japan.html
นำอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของเรากลับคืนมา: คำสั่งของวันนี้ซึ่งรวมกับจดหมายที่ส่งถึงพันธมิตรทางการค้าเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะนำอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจของอเมริกากลับคืนมาโดยการจัดการกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไม่เท่ากันอย่างมากซึ่งคุกคามเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติของเรา เว็บไซต์ระบุ
เว็บไซต์ทำเนียบขาวยังระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นนักเจรจาการค้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นไปที่การแก้ไขความไม่สมดุลในระบบอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้การแข่งขันพลิกกลับมาเอื้อประโยชน์ต่อคู่ค้าของสหรัฐมานานหลายทศวรรษ
ประเทศต่างๆ ที่ไม่จริงจังในการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าทั้งทางภาษีศุลกากรและไม่ใช่ภาษีศุลกากรซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของอเมริกาและเป็นอันตรายต่อคนงาน เกษตรกร และธุรกิจของอเมริกา กำลังเผชิญกับผลที่ตามมา
ประธานาธิบดีทรัมป์ยินดีต้อนรับการทำธุรกิจของพันธมิตรทางการค้าของเราบนแผ่นดินอเมริกา เนื่องจากประเทศเหล่านี้ทราบดีว่าจะไม่มีภาษีศุลกากรหากตัดสินใจสร้างหรือผลิตสินค้าในประเทศของเรา
ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว เป็นมืออาชีพ และเป็นปกติ เพื่อนำการจ้างงานด้านการผลิตกลับคืนมาให้กับชาวอเมริกัน
ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือที่จำเป็นและทรงพลังเพื่อให้ America First เกิดขึ้นหลังจากการขาดดุลการค้าที่ไม่ยั่งยืนมาหลายปี ซึ่งคุกคามเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติของเรา
ปลดปล่อยอเมริกาจากการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม: ตั้งแต่วันแรก ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ท้าทายสมมติฐานที่ว่าคนงานและธุรกิจในอเมริกาจะต้องทนต่อการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมซึ่งสร้างความเสียเปรียบแก่พวกเขามานานหลายทศวรรษและยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการขาดดุลการค้าครั้งประวัติศาสตร์อีกด้วย
เมื่อวันที่ 2 เมษายน ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติเพื่อจัดการกับการขาดดุลการค้าสินค้าของสหรัฐฯ จำนวนมากและยืดเยื้อ ซึ่งเกิดจากการขาดความสมดุลในความสัมพันธ์การค้าทวิภาคี อุปสรรคด้านภาษีศุลกากรและไม่ใช่ภาษีศุลกากรที่ไม่เป็นธรรม และนโยบายเศรษฐกิจของพันธมิตรทางการค้าของสหรัฐฯ ที่กดค่าจ้างและการบริโภคในประเทศ
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงส่งเสริมผลประโยชน์ของประชาชนชาวอเมริกันด้วยการเรียกร้องให้คู่ค้าลดอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรและไม่ใช่ภาษีศุลกากร และขยายการเข้าถึงตลาดสำหรับผู้ส่งออกของอเมริกา
การประกาศในวันนี้ซึ่งยึดหลักความเท่าเทียมและความเป็นธรรม จะช่วยนำพายุคทองมาสู่ประชาชนชาวอเมริกัน
ต้องขจัดทั้ง Tariff และ Non Tariff
CNBC รายงานว่า ไม่ใช่ทุกประเทศที่เป็นเป้าหมายในวันจันทร์ที่เกินดุลการค้าจำนวนมากกับสหรัฐฯ
ขณะที่ในปี 2567 สหรัฐฯ มีการขาดดุลสินค้ากับญี่ปุ่น 68,500 ล้านดอลลาร์ และขาดดุลสินค้ากับเกาหลีใต้ 66,000 ล้านดอลลาร์ แต่ขาดดุลกับเมียนมา 579.3 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ซื้อรถยนต์ เครื่องจักร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ คาซัคสถานส่งออกน้ำมันดิบและโลหะผสมไปยังสหรัฐอเมริกา มาเลเซียขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับสหรัฐอเมริกา และแอฟริกาใต้ส่งโลหะมีค่าส่วนใหญ่ สินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากลาว ได้แก่ เส้นใยแก้วนำแสง แว่นตา และเสื้อผ้า ขณะที่สินค้าส่งออกหลักของเมียนมาคือที่นอนและเครื่องนอน
จดหมายเมื่อวันจันทร์เตือนล่วงหน้าถึง 14 ประเทศไม่ให้ตอบโต้ภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ด้วยการกำหนดภาษีตอบโต้ต่อสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ของตนเอง
“ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามของการตัดสินใจที่จะปรับขึ้นอัตราภาษี ไม่ว่าจะเลือกปรับเป็นจำนวนเท่าใด อัตราภาษีนั้นก็จะถูกเพิ่มเข้าไปในอัตรา 25% ที่เราเรียกเก็บ” จดหมายระบุ
หากประเทศต่างๆ “ขจัด” “นโยบายด้านภาษีศุลกากร นโยบายที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร และอุปสรรคทางการค้า” ของตน สหรัฐฯ “อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนจดหมายฉบับนี้” ตามที่ระบุในจดหมาย
”จดหมายระบุว่า “อัตราภาษีเหล่านี้อาจมีการปรับเปลี่ยน เพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเรากับประเทศของคุณ คุณจะไม่มีวันผิดหวังกับสหรัฐอเมริกา”