“เฉลิมชัย” ตอบกระทู้ถามสด ปมที่ดินภาคใต้ 2.4 แสนไร่ หมดสัมปทาน
“เฉลิมชัย” ตอบกระทู้ถามสด ปมที่ดินภาคใต้ 2.4 แสนไร่ หมดสัมปทาน ลั่น ต้องคืนให้รัฐ 100% แจงเหตุ ยังติดขัดล่าช้า ต้องเร่งแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ส.ป.ก.พ่วงคดีเดิมค้างคาศาล ยืนยันพร้อมจัดสรรพื้นที่ 50% ให้ ประชาชนได้ใช้ทำกิน
วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ตอบกระทู้ทั่วไปเรื่องการบริหารจัดการที่ดินที่หมดสัญญาเช่าสัมปทานใน 6 จังหวัดภาคใต้ (สุราษฎร์ธานี ชุมพร กระบี่ ตรัง พังงา นครศรีธรรมราช) กว่า 249,014 ไร่ ที่ตั้งกระทู้ถามสดถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร์ โดยนายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน (ปชน.) โดยนายเฉลิมชัย กล่าวว่า ตนยืนยันความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน และระบุถึงอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การดำเนินการล่าช้าในพื้นที่ที่ถูกสอบถามโดยเฉพาะกรณีจังหวัดกระบี่ มีที่ดินทั้งหมด 11 แปลง เนื้อที่รวม 63,324 ไร่
-แปลงที่ 1 ของนายสุนทร เจียวก๊ก เนื้อที่ 500 ไร่ ซึ่งส่วนนี้มีการออก ส.ป.ก. ไปครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด
-แปลงที่ 2 ของบริษัทการเกษตร เนื้อที่ 9,750 ไร่ มีการออก ส.ป.ก. ไปแล้วทั้งหมด
-แปลงที่ 3 ของบริษัทฟูจูการเกษตรและอุตสาหกรรม เนื้อที่ 9,500 ไร่ มีการออก ส.ป.ก. ไปแล้วทั้งหมด
-แปลงที่ 4 ของนายสุบิน ฉายาบุรกุล เนื้อที่ 1,844 ไร่ ก็ออก ส.ป.ก. ไปแล้ว
-แปลงที่ 5 ของบริษัทสิวิทยาลัยปาล์ม 3,000 ไร่ มีการออก ส.ป.ก. ไปแล้วทั้งหมด
-แปลงที่ 6 ของห้างหุ้นส่วนจำกัดกระบี่รวมพันธุ์ 1,000 ไร่ มีการออก ส.ป.ก. ไปแล้ว
-แปลงที่ 7 ของนายพัฒน์ ซ้ายเซ่ง เนื้อที่ 1,000 ไร่ มีการออก ส.ป.ก. ไปแล้ว 635 ไร่ เหลือพื้นที่ที่หมดการอนุญาตตามสัญญา 365 ไร่
-แปลงที่ 8 ของบริษัทจิตวัฒน์สวนปาล์ม เนื้อที่ 13,950 ไร่ มีการออก ส.ป.ก. ไปแล้วทั้งหมด 11,316 ไร่ มีการสำรวจสอบสวนสิทธิ์จำนวน 1,524 ไร่ เหลือพื้นที่ที่หมดอายุการอนุญาต 1,110 ไร่
-แปลงที่ 9 ของนายประเสริฐ กิตติทรกุล เนื้อที่ 2,200 ไร่ มีการออกโฉนดที่ดินไปแล้ว 369 ไร่ เหลือพื้นที่หมดอนุญาตหมดอายุการอนุญาต 1,831 ไร่
-แปลงที่ 10 ของห้างหุ้นส่วนสิลสีปราณี 580 ไร่ ซึ่งเป็นที่หมด หมดการอนุญาตทั้งหมด 580 ไร่
-แปลงที่ 11 ของ บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) เนื้อที่ประมาณ 20,000 ไร่ หมดอายุการอนุญาตทั้งแปลง
“ในปัจจุบันเหลือพื้นที่ที่หมดอายุอนุญาตการเข้าใช้เพียง 23,886 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้ แปลงของบริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) เนื้อที่กว่า 20,000 ไร่ ที่หมดอายุการอนุญาตทั้งแปลงนั้น สำนักทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ ได้รื้อถอนต้นปาล์มน้ำมันที่หมดอายุแล้ว และไม่มีการต่ออายุอนุญาตให้บริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ สาเหตุความล่าช้าในการคืนที่ดินและจัดสรรให้ประชาชน ด้วยปัจจัยดังนี้
1.)การฟ้องร้องทางปกครอง เมื่อสัญญาหมดอายุ ผู้เช่าเดิมบางรายได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว ทำให้กระบวนการต้องรอคำวินิจฉัยของศาล และบางคดีที่ศาลตัดสินให้รัฐชนะ ก็มีการอุทธรณ์ ทำให้การดำเนินการต้องชะลอออกไป
2.)การบุกรุกโดยประชาชน เมื่อทราบว่าพื้นที่หมดอายุสัมปทาน มีประชาชนบางส่วนเข้ามาบุกรุก ทำให้กรมป่าไม้ต้องเข้าตรวจสอบสิทธิ์ว่าผู้บุกรุกเป็นผู้ยากไร้และไม่มีที่ดินทำกินในบริเวณนั้นหรือไม่ ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา
3.)ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ส.ป.ก. ที่ดินบางส่วนมีการนำไปจัดสรรโดย ส.ป.ก. ซึ่งปรากฏว่ามีบางส่วนทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวน กรมป่าไม้ได้แจ้ง ส.ป.ก. ให้ยกเลิกการออกเอกสารสิทธิ์ในส่วนที่ทับซ้อนแล้ว และต้องรอการดำเนินการจาก ส.ป.ก. เพื่อให้ที่ดินกลับคืนสู่กรมป่าไม้
ทั้งนี้ ถ้านยืนยันในหลักการว่า เมื่อพื้นที่หมดอายุสัญญา จะต้องกลับคืนมาสู่สาธารณสมบัติของรัฐทันที 100% หากไม่ติดเงื่อนไขดังกล่าว และพื้นที่ที่คืนมาทั้งหมด 50% จะต้องนำไปจัดสรรเป็นที่ดินทำกินให้กับประชาชนตามโครงการ คทช. ส่วนที่เหลือจะนำไปดำเนินการฟื้นฟูสภาพป่าหรือใช้ประโยชน์ในส่วนราชการอื่น ๆ” นายเฉลิมชัย กล่าว
ส่วนข้อกังวลเรื่องการรับผลประโยชน์ไม่ถูกต้องนั้น นายเฉลิมชัย กล่าวย้ำว่า ตนได้กำชับอธิบดีและผู้รับผิดชอบอย่างเด็ดขาด หากพบการกระทำผิดจะดำเนินการลงโทษทางวินัยถึงขั้นไล่ออก และพร้อมรับข้อมูลหลักฐานจาก นายประเสริฐพงษ์ เพื่อนำไปตรวจสอบเพิ่มเติม ทั้งนี้ เมื่อกระบวนการตรวจสอบพื้นที่ ส.ป.ก. การตัดสินคดีในศาล และการยกเลิกคำร้องของผู้ฟ้องเสร็จสิ้นลง รัฐบาลจะสามารถจัดสรรที่ดินให้จังหวัดไปดำเนินการมอบให้กับประชาชนตามคุณสมบัติได้ทันที พร้อมกับเน้นย้ำว่า ต้องเร่งมือกันทุกฝ่าย เพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วง และยอมรับว่าการออกเอกสารสิทธิ์ คทช. ที่ยังคงเป็น “แปลงรวม” ทั้งที่ประชาชนต้องการ “รายบุคคล” เป็นอีกประเด็นที่ตนพยายามผลักดันการแก้ไขในระดับคณะกรรมการระดับประเทศ ขอย้ำว่า ปัญหาที่ดินทำกินของพี่น้องประชาชนที่ล่าช้า คือความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง และขอขอบคุณ นายประเสริฐพงษ์ ที่ตั้งกระทู้ถาม โดยไม่มีอคติ และตนยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาสมบัติของชาติเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน