เทียบชัดๆ ได้ & เสีย ภาษีทรัมป์ "ไทย" จบที่ 19%
เทียบชัดๆ ได้ & เสีย ภาษีทรัมป์ "ไทย" จบที่ 19%
ในตอนแรก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐอเมริกา กำหนดภาษีสูงมากกับหลายประเทศ ก่อนหน้าเส้นตายเจรจาการค้าที่กำหนดไว้ในวัน ที่ 1 ส.ค.68 ที่ตัวเลขในเรื่องของภาษีหลายประเทศสูงปรี๊ดและหลายประเทศที่อยู่ในระดับกลาง ตามประกาศครั้งแรก คือ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ที่ทรัมป์ประกาศ “Liberation Day tariffs” โดยมีค่าเริ่มต้นขั้นต่ำ 10% และอาจขึ้นสูงมากขึ้นในบางประเทศตามนโยบาย reciprocal tariffs ซึ่งถือว่าค่า VAT และ non‑tariff barriers เป็นเหมือนภาษีนำเข้า
สำหรับประเทศไทย ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กำหนดอัตรากับไทยคือ 36% ครอบคลุมสินค้าทั้งหมด พร้อมเงื่อนไขว่า หากไทยไม่แก้ปัญหาการขนส่งผ่าน (transshipment) หรือไม่เปิดตลาดเพิ่มเติม สหรัฐจะคงอัตรานี้ไว้ โดยอัตราดังกล่าวกำหนดใช้ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2025 โดยมีประกาศทาง Truth Social ของทรัมป์ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568
การเจรจาลดอัตราไทย ได้พยายามเจรจากับสหรัฐ ชี้แจงและสนับสนุนให้นำเข้าเพิ่มจากสหรัฐ โดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พลังงาน อาหาร และเครื่องบิน เพื่อแลกกับการลดอัตรา กระทรวงการคลังไทย (นางสาว แพทองธาร ชินวัตร) ระบุว่า ข้อตกลงใกล้จะเสร็จแล้ว และได้มีการประกาศมาล่าสุด 1 สิงหาคม 68
กอปรกับ เกิดปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งทรัมป์ ออกมาประกาศกร้าวว่า หากไทยและกัมพูชาไม่หยุดยิง และนำกลับไปสู่โต๊ะเตรจรา อาจมีผลต่อภาษีทรัมป์ที่สูงขึ้นได้
ล่าสุด 1 ส.ค.2568 ทรัมป์ ประกาศการเก็บภาษีประเทศไทย 19% เท่ากับ 4 ชาติในอาเซียน
ซึ่งผลสรุปออกมาได้ดังนี้ เวียดนาม20%,บรูไน 25%,อินเดีย 25%,ลาว 40%,เมียนมา40%,ญี่ปุ่น 15%,เกาหลีใต้ 15% ,มาเลเซีย 19%,ฟิลิปปินส์ 19%,อินโดนีเซีย 19%
ที่น่าจับตาคือ ไทยและกัมพูชา ที่ถูกขู่ว่าจะไม่เจรจาการค้าหากไม่ยุติการสู้รบ ทำให้ได้รับการปรับลดภาษี จากเดิม 36% เหลือ 19 % เท่ากันทั้งสองประเทศมีผล 1 ส.ค.นี้
ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยคาดว่าจะได้รับในครั้งนี้คือ
1. เพิ่มโอกาสการส่งออกกลับเข้าสหรัฐฯจากเดิมที่แทบหยุดส่งเพราะต้นทุนสูง 36%ลดเหลือ 19% ทำให้สินค้าหลายกลุ่ม เริ่มกลับมาส่งได้โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า อาทิ อาหารแปรรูป,อุปกรณ์ไฟฟ้า,ยางพาราและผลิตภัณฑ์,เครื่องนุ่งห่ม
2. เพิ่มแรงจูงใจให้พัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศผู้ประกอบการไทยอาจหันมาส่งเสริม “ผลิตเพื่อใช้ในประเทศ” และ พัฒนามูลค่าเพิ่มสินค้า แทนการส่งออกสินค้าทุนต่ำเช่น จากส่งออกยางดิบ ไปสู่ยางพาราแปรรูปขั้นสูง
3. โอกาสเจรจาใหม่เพื่อสิทธิประโยชน์ รัฐบาลไทยสามารถใช้การเจรจาภาษีนี้เป็น “แต้มต่อ” เพื่อขอสิทธิพิเศษทางการค้า (FTA เฉพาะกลุ่ม), หรือขอแรงสนับสนุนจากสหรัฐด้านอื่น เช่น ความมั่นคง การลงทุน อาจนำไปสู่การเปิดตลาดสินค้าเกษตรจากไทยมากขึ้น เช่น ทุเรียน ลำไย หรืออาหารแปรรูป
ผลเสียต่อประเทศไทยในครั้งนี้คือ
1.ในเรื่องของ อุตสาหกรรมสิ่งทอ, เฟอร์นิเจอร์, ชิ้นส่วนรถยนต์ ที่กำไรต่อหน่วยต่ำ หากยังต้องเสีย 19% ก็อาจ ขาดทุนจากการส่งออกและอาจต้องหันไปผลิตขายในตลาดอื่น หรือลดกำลังผลิต
2.กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนระยะยาว นักลงทุนต่างชาติที่ตั้งฐานผลิตในไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐ อาจมองว่าไทยมี “ความเสี่ยงเชิงการค้า“ อาจย้ายฐานไปประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า แม้จะต่างกันแค่ 4–5%
3.ลดอำนาจต่อรองของไทย การที่ไทยยอมให้สหรัฐเก็บภาษีแม้ลดลง อาจทำให้ขาดแต้มต่อในการเจรจาอื่น เช่น เรื่อง GSP (สิทธิพิเศษทางภาษี) การเปิดตลาดสินค้าเกษตรไทย เช่น ข้าว กล้วยหอม หรือเนื้อสัตว์
4.ภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะพันธมิตรการค้าหากไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มยังต้องเก็บภาษีสูงหมายถึงความไม่ไว้วางใจจากสหรัฐ กระทบถึงความร่วมมือในมิติอื่น เช่น ดิจิทัล พลังงาน หรือความมั่นคง
แต่มีกระแสข่าวมาว่า ในเรื่องของกัมพูชาที่ตอนแรกภาษีถูกตั้งเป้าไว้สูงปรี๊ดเหมือนประเทศไทย แต่กัมพูชาได้มีการแลกกับการสร้างท่าเรือและล่าสุด ซุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และรองประธานสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) เปิดเผย เปิดเผยว่า กัมพูชาเสนอภาษี 0% และซื้อเครื่องบินโบอิ้งขั้นต่ำ 10 ลำ หลายคนจึงตั้งคำถามว่า แล้วไทยเอาอะไรไปแลกถึงได้ภาษีจากตอนแรก 36% เหลือ 19%