ไทยกัมพูชา รบกันขนาดนี้ ยกเลิกMOU43-44 เลยดีมั้ย ?
ถึงเวลา! ไทยควรยกเลิก MOU43-44 หรือยัง?" ปมร้อนชายแดนไทย-กัมพูชา
เชื่อว่าหลายคนคงยังจำได้ มีนักวิชาการ และนักการเมืองบางคน เคยเสนอยกเลิก MOU43 มาแล้ว ในช่วงเกิดเหตุปะทะที่ช่องบก เมื่อ 2 เดือนก่อน กระทั่งความตึงเดรียดชายแดนพัฒนาเป็นสงครามขนาดย่อม ช่วงวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา จนมีการเจรจาหยุดยิง โดยมีบุคคลที่สาม สี่ และ ห้า เข้ามาเกี่ยวข้องสถานการณ์ความรุนแรงจึงคลี่คลายลง แต่ไม่มีใครกล้าฟันธงว่า การสู้รบจะไม่เกิดขึ้นอีก
เพราะปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถาวร เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปีแล้ว โดย MOU43 หรือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ.2543 คือกลไกหนึ่งที่ใช้ในการแก้ปัญหาเรื่องเขตแดน แต่ 25 ปีผ่านมาแล้ว กลไก MOU 43 ก็ไม่สามารถเดินหน้าปักปันเขตแดนให้สำเร็จลุล่วงได้ ตรงกันข้ามยังมีการสู้รบมีการสูญเสียเกิดขึ้นหลายครั้ง และรอบนี้รุนแรงที่สุด จนมาซึ่งคำถามในโลกโซเชียล รวมถึงในสภาผู้แทนราษฏร ว่าถึงเวลาที่รัฐบาลไทยต้องยกเลิกMOU 43 รวมถึง MOU 44 ที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แล้วหรือยัง
"สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง" สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย พร้อมเพื่อนสส.ฝ่ายค้านอีก 34 คน ร่วมลงชื่อเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาพิจารณายกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยจะมีการพิจารณากันในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ขณะที่ " สุรเดช ยะสวัสดิ์" รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็เรียกร้องให้รัฐบาล "แพทองธาร ชินวัตร" ที่มี "ภูมิธรรม เวชยชัย" เป็นรักษาการนายกฯ ตัดสินใจใช้โอกาสนี้ ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ยืนยันแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 200,000 ตามที่กัมพูชาต้องการ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ
เช่นเดียวกับ "อดีต สว.คำนูญ สิทธิสมาน" ก็จี้ให้รัฐบาลยกเลิก MOU 43 เช่นกัน ตั้งแต่เห็นภาพ สมเด็จ ฮุนเซน ดูแผนที่บัญชาการรบโจมตีไทย โดยระบุ ชนะในสนามรบแล้ว อย่าต้องให้มาเสียเปรียบเพื่อนบ้านอันธพาลบนโต๊ะเจรจาเลย
สำหรับท่าทีของคนในพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลนั้น "ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์" รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เคยแสดงท่าทีเอาไว้เมื่อ 1 เดือนก่อนว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ แพทองธาร ไม่มีแนวคิดในการยกเลิก MOU 43 และ ฉบับ 44 เพราะทั้ง 2 ฉบับ ไม่ใช่ข้อตกลงที่มอบอำนาจ หรืออธิปไตยให้กัมพูชา แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และเปิดช่องให้มีการเจรจาในอนาคต
ดังนั้นการรักษา MOU ไว้ ไม่ใช่การยอมแพ้ อย่างที่บางฝ่ายมุ่งสร้างวาทกรรม แต่ความจริงคือ MOUเป็นหลักประกันของไทย ที่จะมีสิทธิ์ร่วมกำหนดอนาคต ของพื้นที่ทับซ้อน ไทยจึงยังถือไพ่เหนือกว่า ไม่เสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ดังนั้นเรื่องนี้อาจต้องสู้กันในสภาอีกครั้งหนึ่ง
เชื่อว่าหลายคนอาจมีคำถาม ตกลงแล้วMOU 43 ที่เริ่มต้นในปลายรัฐบาล"ชวน หลีกภัย" นั้นเป็นตัวปัญหาหรือไม่ แต่เมื่อศึกษาดูแล้ว พบว่า ด้วยหลักการ ข้อเท็จจริง และหลักกฎหมาย MOU ทั้ง 2 ฉบับ มิได้กระทบต่อแนวเขตแดน อธิปไตยของไทย แต่เป็นการวางกรอบในการเจรจาปักปันเขตแดน เพื่อนำไปสู่ความตกลงร่วมกันโดยสันติ
เพียงแต่ใน MOU 43 นั้น กลับมีการยอมให้ใช้ แผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นหนึ่งในแผนที่ ที่จะใช้ในการเจรจาปักปันเขตแดน ซึ่งส่วนนี้ต่างหากทำให้เกิดปัญหา เพราะกองทัพไทย และรัฐบาลไทย ยึดแผนที่ 1 ต่อ 50,000 เป็นหลักมาตลอด ดังนั้นการปักปันเขตแดน จึงไม่คืบหน้า เพราะเป็นเรื่องสลับซับซ้อน มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก และเกิดความขัดแย้งกันในที่สุด
อย่างไร จากสถานการณ์สู้รบที่ผ่านมา ประเทศไทยจึงมีสิทธิที่จะยกการฝ่าฝืน MOU 43 อย่างร้ายแรงของกัมพูชา เพื่อกล่าวอ้างให้ MOU นี้สิ้นสุดลง หรือระงับใช้ MOU ชั่วคราวทั้งหมด หรือบางส่วนก็ได้ โดยสามารถอ้างบทบัญญัติแห่ง อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ข้อที่ 60 ประชาคมโลกก็จะมากล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเกเร รังแกกัมพูชาเพราะเป็นคนฉีกสัญญาก็ไม่ได้ แต่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews