"วัส ติงสมิตร" โต้ความเห็นปรมาจารย์กฎหมาย ชี้ “รัฐบาลรักษาการ” ไม่มีอำนาจยุบสภาฯ
"วัส ติงสมิตร" โต้ความเห็นปรมาจารย์กฎหมาย ชี้ “รัฐบาลรักษาการ” ไม่มีอำนาจยุบสภาฯ
วันที่ 1 ก.ย. 2568 นายวัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฏีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ไขข้อสงสัยต่อความเห็นของปรมาจารย์เกี่ยวกับอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา มีปรามาจารย์ด้านกฎหมายให้ความเห็นเกี่ยวกับอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรอยู่ 2 ประเด็น แม้ผู้เขียนจะเห็นด้วยในผลที่รัฐบาลรักษาการไม่อาจถวายคำแนะนำให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่ไม่เห็นด้วยในเหตุอยู่ 2 ข้อ ดังนี้
1)รัฐบาลรักษาการเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ
(1)ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเพราะตาย ลาออก สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรี
(2) อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
2) ในกรณีที่ 1 รัฐบาลรักษาการมีหน้าที่ 2 ข้อ คือ (1) ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรี และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ต่อ กกต. และ (2) งานประจำเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ
3) ส่วนในกรณีที่ 2 (อายุสภาสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภา) มีการเลือกตั้ง สส. ใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลรักษาการจึงไม่มีหน้าที่ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกนายกรัฐมนตรี คงมีหน้าที่ในงานประจำเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ แต่มีข้อจำกัดในการปฏิบัติหน้าที่อยู่ 4 ข้อ เช่น
(1) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ
(2) ไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน
(3) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน และ
(4) ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่ กกต. กำหนด (มาตรา 169)
กรณีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเพราะฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ไม่ใช่เกิดจากอายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีเงื่อนไขในการปฏิบัติหน้าที่ 4 ข้อตามมาตรา 169 ดังความเห็นของปรมาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าจะยังคลาดเคลื่อนอยู่
4) ส่วนที่มีปรมาจารย์อีกท่านหนึ่งเห็นว่า หากขณะที่นางสาวแพทองธารถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย รักษาการนายกรัฐมนตรีมีอำนาจทูลเกล้าฯ ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวเพราะฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง รักษาการนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจทูลเกล้าฯ ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร
ผู้เขียนเห็นว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีตัวจริงถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีตัวจริงยังดำรงตำแหน่งอยู่ เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้เท่านั้น แล้วเหตไฉนรักษาการนายกรัฐมนตรีจึงมีอำนาจทูลเกล้าฯ ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีตัวจริงยังไม่มีอำนาจ