ความรู้ทางการเงิน 101 “เข้าใจ-ใช้เป็น” เพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทาย "ความรู้ทางการเงิน" หรือ "Financial Literacy" ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคได้อย่างมั่นคง สอดคล้องกับ ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ให้ทรรศนะว่า หลายโรงเรียนทั่วโลกตระหนักถึงเรื่องนี้และเริ่มปรับหลักสูตรเพื่อให้นักเรียนมีทักษะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา โรงเรียน Capital City Public Charter School ในกรุงวอชิงตันได้เปิดสอนวิชา "พีชคณิตขั้นสูงเพื่อประยุกต์ใช้ด้านการเงิน" ซึ่งครอบคลุมการลงทุน การกู้ยืม การจัดการสินเชื่อ และดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนอีกกว่า 30 รัฐในสหรัฐฯ ที่ผลักดันแนวทางการสอนนี้ ส่วนที่ประเทศแคนาดา นักเรียนมัธยมในรัฐออนแทรีโอต้องสอบผ่านความรู้ทางการเงินด้วยคะแนนไม่ต่ำกว่า 70% เพื่อจบการศึกษา ซึ่งหลักสูตรนี้รวมถึงการป้องกันตนเองจากการฉ้อโกงทางการเงินด้วย
"Financial Literacy 101" จึงเป็นวิชาพื้นฐานที่ทุกคนควรเรียนรู้เพื่อ "เข้าใจและใช้เป็น" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรู้เท่าทันทางการเงิน การรู้เท่าทันทางการเงินไม่เพียงแค่ต้องมี "ความรู้" แต่ยังต้องมี "ทักษะ" ในการนำความรู้นั้นไปใช้ให้ประสบความสำเร็จด้วย โดยต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะและฝึกฝน และควรปลูกฝังตั้งแต่เด็กและเยาวชน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันและรับมือความเสี่ยงได้ดีขึ้น
สำหรับประเทศไทย การรู้เท่าทันทางการเงินถูกย้ำความสำคัญมากขึ้นหลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ในไตรมาสแรกของปีนี้เผยว่า หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 13.6 ล้านล้านบาท และมีหนี้เสียสูงถึง 8% หรือ 1.09 ล้านล้านบาท โดยหนี้เสียเช่าซื้อรถยนต์เติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 32% และหนี้เสียบัตรเครดิตเติบโตขึ้น 14.6% นอกจากนี้ รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า คนไทยส่วนใหญ่มีหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ถึง 67% และ 1 ใน 5 คน หรือ 23% มีหนี้เสีย แม้การ "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้" จะเป็นเรื่องท้าทาย แต่การรู้เท่าทันทางการเงินก็เป็นเหมือน "เบาะรองรับความผันผวน" ที่ช่วยประคับประคองไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายจนเกินไป
การรู้เท่าทันทางการเงินคือ "ทักษะบริหารความเสี่ยงของชีวิต" ไม่ใช่แค่การบริหารเงินในกระเป๋า ธนาคารแห่งประเทศไทยและองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่าองค์ประกอบสำคัญสู่ความสำเร็จ 3 ปัจจัย ได้แก่:
- การมีความรู้ทางการเงินที่ดี (Financial knowledge)
- การมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดี (Financial behavior)
- การมีทัศนคติทางการเงินที่ดี (Financial attitude)
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ปัจจัยนี้ ดร.ธีระพล ได้เสนอ "แนวปฏิบัติ 5 ประการ" เพื่อนำไปปรับใช้เสมือนเป็นวิชา Financial literacy 101
1. “เป้าหมายชีวิต-เป้าหมายทางการเงิน” การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เราวางแผนการจัดการเงินได้อย่างเหมาะสม เป้าหมายควรทำทั้งระยะสั้น กลาง และยาว และต้องเป็นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและชัดเจน เช่น "ฉันจะออมเงิน 100,000 บาทภายใน 3 ปี" เพื่อให้เห็นหนทางไปสู่เป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
2. “ออมเงิน” ทำได้ เริ่มให้ไว การออมควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะภาระค่าใช้จ่ายยังไม่มากนักควรหักเงินออม 10-15% จากรายได้ และแบ่งประเภทการออมให้ชัดเจน สิ่งสำคัญคือ ควรออมเงินฉุกเฉินให้ได้อย่างน้อยเท่ากับค่าใช้จ่าย 6 เดือน เพื่อเป็นเงินสำรองในกรณีที่ขาดรายได้
3. “เปลี่ยนการออม เป็นการลงทุน” ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า คนไทยมีสัดส่วนการออมที่สูง (5%) แต่ส่วนใหญ่เป็นการออมในรูปแบบเงินสดหรือบัญชีออมทรัพย์ ในขณะที่มีคนไทยที่ออมผ่านการลงทุนเพียง 2.6% ซึ่งถือว่าน้อยมาก การลงทุนมีความสำคัญเพราะ "เงินทำงานได้" และช่วยกระจายความเสี่ยงจากการออม การทำให้เงินงอกเงยจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าของเงินลดลง อย่างไรก็ตาม การลงทุนจำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ราคา การกระจายการลงทุน และความเสี่ยง นักลงทุนสามารถพิจารณาการลงทุนผ่าน "ดัชนีความยั่งยืน" (Sustainability Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่ชี้วัดการดำเนินงานตามแนวคิด ESG (Environment, Social, and Governance) เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันในการตัดสินใจลงทุน
4. “เป็นหนี้ได้ แต่ต้องไม่เป็นหนี้เสีย (Debt Management)” การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่ต้องบริหารจัดการให้เกิดสภาพคล่องควรเริ่มต้นจากการจัดทำงบประมาณเพื่อทำความเข้าใจหนี้สิน และวางแผนการใช้จ่ายและการชำระหนี้ นอกจากนี้ ควรมีแผนจัดการหนี้ควบคู่กันไป เช่น การชำระหนี้ให้ตรงเวลา การพิจารณาการรีไฟแนนซ์ และการสร้างเงินสำรองฉุกเฉิน
5. “ภาษีจัดการให้ดี เงินออมเพิ่ม” การจัดการภาษีที่ดีสามารถช่วยลดหย่อนภาระภาษีได้ซึ่งทำให้เราสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปเป็นเงินออมหรือเงินลงทุนได้มากขึ้น การวางแผนภาษีควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจประเภทของรายได้และค่าใช้จ่ายที่สามารถหักลดหย่อนได้ รวมถึงการศึกษาทางเลือกการลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุน เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
"Financial Literacy 101" จึงเป็นมากกว่าตำราเรียน มันคือ "ทักษะชีวิต" ที่ช่วยให้เราตัดสินใจเรื่องการเงินได้อย่างมั่นใจ พร้อมรับมือกับความท้าทาย และสร้างชีวิตที่มั่นคงและยั่งยืนในทุกย่างก้าว