เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Down โดยมีฐานแนวรับหลักบริเวณ 1,240+- จุด ชะลอความร้อนแรงหลังจากปรับตัวขึ้นเกือบ 20% ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมตลาดขาดปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนเพิ่ม ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มเห็นการพักตัวบ้างหลังจากไหลเข้าหนาแน่นกว่า 2.4 หมื่นลบ. เราประเมินว่าโฟกัสตลาดปัจจุบันอยู่ที่การประกาศผลการดำเนินงานบจ. 2Q25 ซึ่งสำหรับไทยภาพรวมเท่าที่ประกาศออกมายังไม่ต่ำกว่าตลาดคาด ซึ่งคาดช่วยลด Downside
สำหรับ EPS ปี 2025 ปัจจุบันที่ราว 89 บาท ส่วนโฟกัสระยะถัดไปคาดยังอยู่ที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะชะลอตัวมากน้อยเพียงใดหลังจากอัตราภาษีนำเข้าถูกปรับขึ้นในเดือน ส.ค. ซึ่งหากชะลอตัวเร็วกว่าคาดจะเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงทำให้ FED ต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น สำหรับ SET Index เรามองว่าหากการพักตัวไม่หลุดแนวรับหลัก 1,230-1,240 จุด ภาพระยะกลาง-ยาวยังคงเป็นบวกและมีโอกาสไต่ระดับขึ้นต่อทดสอบกรอบ 1,280-1,300 จุดเพื่อทะลุผ่านอีกครั้ง เรายังคงมุมมองว่าหุ้น Consumer Staple ซึ่ง Laggard ตลาดในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา เช่น โรงไฟฟ้า การแพทย์ ค้าปลีก ไฟแนนซ์ รับเหมาฯ เป็นต้น ยังมีแนวโน้มปรับตัวได้แข็งกว่าดัชนีระยะนี้
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่ยัง Laggard ตลาดและมีกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ส.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MTC, SCGP
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, STECON
หุ้นเด่นวันนี้ : KTC
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 32 บาท
• แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H25 คาดว่ายังทรงถึงเติบโตได้เล็กน้อย เช่นเดียวกับที่ประกาศกำไร 2Q25 โต +4% y-y, +2% q-q ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดีมาก NPL ลดลงเหลือ 1.83% ส่วนการตั้งสำรองและ opex สามารถคุมได้ดี
• เราคาดกำไรปี 2025 เติบโต 3% y-y และคาดให้ Dividend Yield ราว 4.5% ต่อปี นอกจากนี้คาดได้ Sentiment หนุนหลังถูกเพิ่มหุ้นเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Small Cap ในรอบนี้
• แนวรับ 28.50//27.50 บาท แนวต้าน 30//31 บาท
บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ ผันผวนกรอบแคบ นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุน ก่อนเข้าวันหยุดยาว โดยวันนี้คาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบและอาจผันผวน เนื่องจากเข้าใกล้วันหยุดยาว ทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจชะลอการลงทุนหรือเลือกขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นมามาก อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดยังไม่เห็นปัจจัยเสี่ยงที่รุนแรง ประกอบกับ กระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย จะเป็นปัจจัยช่วยพยุงตลาดไว้ ทำให้เชื่อว่าดัชนีฯ มีโอกาสปิดในแดนบวกได้
ปัจจัยต่างประเทศ
• การค้าโลก (Global Trade):
o สหรัฐฯ-อินเดีย: สหรัฐฯ มีแผนจะเก็บภาษีนำเข้าจากอินเดีย 50% คาดว่าจะมีผลปลายเดือน ส.ค. อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาและยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย
o สหรัฐฯ-จีน: การขยายเวลาพักรบทางการค้ายังไม่มีความชัดเจน (เส้นตายเดิม 12 ส.ค.) แต่ผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มชิปในเอเชียค่อนข้างจำกัด เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าบริษัทที่มีฐานการผลิตหรือแผนลงทุนในสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้นภาษี
• เศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งกว่าคาด: ตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค. ของจีนขยายตัวถึง 7.2% (YoY) สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แม้การส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลง 22% แต่ถูกชดเชยด้วยการส่งออกไปยัง ASEAN ที่เติบโตถึง 17% และ EU ที่โต 9.3% ถือเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคและสนับสนุน Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง
• รัสเซีย : เครมลินประกาศว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะจัดการประชุมสุดยอดภายในไม่กี่วันนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อยุติสงครามในยูเครนที่ดำเนินมาเป็นปีที่สี่ ตลาดการเงินตอบรับเชิงบวกต่อข่าวนี้ โดยพันธบัตรสกุลดอลลาร์ของยูเครนและสกุลเงินในยุโรปปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากความหวังที่จะเกิดข้อตกลงสันติภาพ
ปัจจัยในประเทศ
• MSCI Rebalance: MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นเข้า-ออกและปรับน้ำหนักดัชนีรอบใหม่ ซึ่งจะมีผล ณ ราคาปิดวันที่ 26 ส.ค. โดย Global Standard Index ไม่มีหุ้นเข้าใหม่ แต่มีหุ้นออก : HMPRO, OR …..ส่วน Global Small Index หุ้นเข้า : HMPRO, KTC และ หุ้นออก : SISB, TPIPL, ICHI
• ฤดูกาลประกาศงบ 2Q25: DAOL ประเมินกำไรสุทธิของตลาดในไตรมาส 2/68 ที่ 2.5 แสนล้านบาท (-2% YoY, -10% QoQ) ทั้งนี้ ยังไม่รวมกำไรของ GULF ที่จะมีรายการพิเศษเข้ามา
• การเมืองชายแดนไทย-กัมพูชา: ผลการประชุม GBC ที่มีข้อตกลง 13 ข้อ รวมถึงการหยุดยิง ถือเป็นข่าวบวกที่ช่วยลดความเสี่ยงในภูมิภาค และส่งผลดีเชิงจิตวิทยาต่อหุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวข้อง เช่น SAV และ CBG
• XD วันนี้: หุ้น PTTEP ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ที่อัตรา 4.10 บาทต่อหุ้น คาดราคาหุ้นจะปรับตัวลง หลังแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ มีแนวโน้มอ่อนตัวลง หลัง OPEC+ จะยกเลิกการคุมการผลิต และรัสเซีย อาจยุติสงครามเร็วๆนี้
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,250 – 1,260 แนวต้าน 1,270 – 1,275 คาดมีโอกาสดัชนีชะลอตัว หลังฟื้นตัวจากฐานรอบนี้ +22% กอปรกับรอการทยอยรายงานกำไร บจ. รวมถึงผลการประชุม กนง.วันที่ 13 ส.ค.ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยหรือไม่ แนะนำทยอยซื้อกลุ่ม Laggard เช่น BCPG,CKP,BPP คาดกำไร Q3/68 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และเก็งกำไรหุ้นที่โมเมนตัมบวกทางเทคนิค เช่น SKY, PSI, ORI
BCPG* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 8.90 บาท) ผลประกอบการ 2Q68 สะดุดชั่วคราวจากรายการ one-time ตั้งด้วยค่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Nabas2 / ลูกหนี้การค้า EDL / FX Loss กำไรปกติอ่อนตัว QoQ จากโรงไฟฟ้าในสหรัฐ ส่วนแนวโน้ม 3Q68 จะกลับมาเติบโต QoQ, YoY จาก Hydro power plant ที่ปริมาณน้ำมากขึ้น การทยอย COD โครงการพลังงานลม Monsoon (290Mwe ถือหุ้น 48%) ในลาว ปัจจัยบวกที่เหลือมาจากโรงไฟฟ้าในสหรัฐเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนและการเติบโตของธุรกิจ Data center ส่งให้ค่าความพร้อมจ่าย Capacity Payment ในตลาดเสรีของสหรัฐฯ (PJM) ปรับเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง
CPN* (ทะยอยซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 68.73 บาท) BB consensus คาดกำไรสุทธิ 2Q68 อยู่ที่ 4,205 ลบ.(-7.69%YoY, -0.52%QoQ) โดยธุรกิจให้เช่าศูนย์การค้ายังดูโตได้ แต่กดดันจากธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอสังหาฯที่พักอาศัย อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะฟื้นตัวจากครึ่งแรก หนุนด้วย 1.โมเมนตัมธุรกิจให้เช่าฯ ตามกลยุทธ Retail-Led Mixed-Use Development/เปิด Central Park, Central กระบี่ 2.ปัจจัยหนุนจาก”เที่ยวไทยคนละครึ่ง”/ปัจจัยตามฤดูกาลในQ4 และ 3.ยอดโอนคอนโดกลับมา/เปิดโครงการแนวราบใหม่ๆ ปัจจุบัน ตลาดคาดกำไรสุทธิปี68, 69 ของ CPN ที่ 17,375 ลบ.(+4%YoY) และ 18,969 ลบ.(+9%YoY)