สรุปหลักฐาน คดีลุงพล สาเหตุเจตนาฆ่า น้องชมพู่ ติดคุก 26 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้าง
คดีของเด็กหญิงวัย 3 ขวบ “น้องชมพู่” ที่บ้านกกกอก จังหวัดมุกดาหาร คลี่คลายชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังประชาชนทั้งประเทศติดตามมานานกว่า 5 ปี จุดเริ่มต้นจากการหายตัวปริศนาไปจากบ้านพักในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ก่อนถูกพบเป็นศพในอีก 3 วันต่อมาบนภูเหล็กไฟ
คดีนี้มีความซับซ้อนด้วยพยานหลักฐานที่ถูกทำลาย พฤติกรรมที่น่าสงสัยของผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย จนนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดี นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ลุงเขยของน้องชมพู่
ไทม์ไลน์การหายตัวจนถึงวันพบศพ
• วันที่ 11 พฤษภาคม 2563: น้องชมพู่ หายตัวไปจากบ้านพัก ระหว่างเวลาประมาณ 09:11 น. ถึง 09:49 น. ตอนนั้นอยู่กับพี่สาวคือ น้องสะดิ้ง วัย 13-14 ปี ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่พบเห็นน้องชมพู่ บ้านของน้องชมพู่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ใกล้กับบ้านของน้าต่าย (น้องสาวของแม่) และมีต้นมะม่วงอยู่ใกล้ๆ ด้านหลังบ้านเป็นพื้นที่ภูเขาชื่อ ภูเหล็กไฟ
• การค้นหา: ชาวบ้านในพื้นที่ได้ระดมกำลังกันปูพรมค้นหาน้องชมพู่เป็นเวลาหลายวัน แต่ไม่พบร่องรอยใดๆ
• วันที่ 14 พฤษภาคม 2563: ลุงพล (นายไชย์พล วิภา) ลุงเขยของน้องชมพู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมค้นหา ได้ตะโกนพบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟ โดยสภาพศพไม่สวมเสื้อผ้า จุดที่พบศพอยู่ห่างจากบ้านน้องชมพู่ไปประมาณ 2 กิโลเมตรกว่า ซึ่งเป็นระยะทางที่เด็ก 3 ขวบไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้
• ผลการชันสูตรเบื้องต้น: แพทย์นิติเวชสันนิษฐานว่า น้องชมพู่เสียชีวิตจากการขาดน้ำและอาหาร แต่ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ
พยานหลักฐานและข้อสงสัยที่นำไปสู่การจับกุมลุงพล
อ่านข่าว : เปิดหลักฐานมัด “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ “รอยตัดเส้นผม” สู่โทษจำคุก 26 ปี
การสืบสวนคดีนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น ตำรวจได้สอบปากคำพยานถึง 384 ปาก รวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด มีประเด็นสำคัญที่นำไปสู่การออกหมายจับลุงพล ดังนี้
• พฤติกรรมของน้องชมพู่: น้องชมพู่เป็นเด็กที่ไม่ยอมให้คนแปลกหน้าอุ้มหรือพาไปไหน หากไม่ใช่คนที่รู้จักคุ้นเคยจะร้องไห้ทันที แต่ในวันที่หายไป ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของเธอเลย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่พาน้องชมพู่ไปต้องเป็นคนที่เด็กรู้จักมักคุ้น
• คำให้การที่ไม่สอดคล้องกัน: จากกลุ่มบุคคล 10 คนที่ใกล้ชิดน้องชมพู่และสามารถพาน้องไปได้โดยไม่ร้องไห้ มีเพียง ลุงพลเท่านั้นที่ไม่สามารถระบุที่อยู่ของตัวเองได้อย่างชัดเจน ในช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไป
◦ ลุงพลบอกกับพระสงฆ์ว่าหลานสาวหายตัวไปตั้งแต่เช้าวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ทั้งที่ในความเป็นจริง ยังไม่มีใครในละแวกนั้นแจ้งข่าวการหายตัวของน้องชมพู่ให้ลุงพลทราบในเวลานั้น
◦ พยาน 2 คนให้การว่าพบเห็นลุงพลบริเวณถนนใกล้บ้านน้องชมพู่ในช่วงเวลาที่น้องหายไป และต่อมาพบลุงพลบนร่องน้ำบนเขาภูเหล็กไฟในช่วงบ่ายของวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ขณะที่คนอื่นๆ กำลังตามหาน้องชมพู่ โดยลุงพลมีท่าทางรีบร้อนและไม่ตอบรับเมื่อถูกทักทาย
◦ ลุงพลให้การวกไปวนมาหลายครั้ง ไม่ตรงกับคำให้การของพยานบุคคลอื่น บางครั้งมีพฤติกรรมข่มขู่พยานให้เปลี่ยนคำให้การ
ผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์
◦ เส้นผมของน้องชมพู่ที่ถูกตัดประมาณ 30 เส้น ถูกพบที่จุดพบศพบนภูเหล็กไฟ และยังพบเส้นผมของน้องชมพู่ในรถกระบะของลุงพลด้วย
“พิจารณาประกอบกับการที่มีพยานแวดล้อมเห็นจำเลยที่ 1 อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ อีกทั้งพยานหลักฐานที่ได้รับการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีการที่น่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ยังบ่งชี้ว่า รอยตัดเส้นผมหรือเส้นขนที่อยู่ในรถยนต์ของจำเลยที่ 1 มีองศาเดียวกันกับรอยตัดเส้นผมหรือเส้นขนบริเวณที่พบศพผู้ตาย คือ มีรอยเฉียง 26 องศา เท่ากัน รวมถึงครอบครัวของโจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยทั้งสองเคยมีสาเหตุไม่พอใจกันมาก่อน ประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ๆ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยเล็งเห็นผล พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำสืบมามีพิรุธหลายประการ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ยังไม่เพียงพอให้รับฟังหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง”
◦ แม้จะไม่พบหลักฐาน DNA ของลุงพลที่จุดเกิดเหตุ แต่ พบเส้นผมของบุคคลใกล้ชิดของลุงพลตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ทั้งที่บุคคลนั้นไม่ได้ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนว่าเส้นผมดังกล่าวอาจติดไปกับผู้ต้องหา
◦ ผลการตรวจจับเท็จสรุปว่าลุงพลมีพิรุธในการตอบคำถามหลายครั้ง
จุดพิรุธ อำพรางคดี
สำนวนการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ระบุว่า หลังน้องชมพู่เสียชีวิต มีความพยายามอำพรางคดีเกิดขึ้น
• เคลื่อนย้ายศพ: หลังจากน้องชมพู่ถูกพาไปจากบ้านในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 เด็กอาจถูกทิ้งไว้ใกล้ท้ายหมู่บ้านในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นจึงถูกพากลับไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟในป่าลึกซึ่งไม่มีผู้คน เพื่อทำให้ขาดน้ำและอาหารจนถึงแก่ความตาย
• ถอดเสื้อผ้า: มีการถอดเสื้อผ้าของเด็ก (พบกางเกงแต่ไม่พบเสื้อ และรองเท้าแตะ) เพื่ออำพรางคดีให้ดูเหมือนเป็นการฆาตกรรมหรือล่วงละเมิดทางเพศ
• ตัดเส้นผม: มีการตัดเส้นผมของเด็กเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นคดีให้เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ มนต์ดำ หรือเวทมนตร์เขมร เพื่อโยงไปถึงคู่กรณีหรือคู่ขัดแย้งของพ่อเด็ก
คดีน้องชมพู่ใช้เวลาสืบสวนสอบสวนนานถึง 5 ปี เนื่องจากเป็นพื้นที่ชนบทที่ไม่มีกล้องวงจรปิด และหลักฐานต่างๆ ถูกทำลายไปมากจากการค้นหาของชาวบ้านและสภาพแวดล้อม เช่น ฝนตก
• 1 มิถุนายน 2564: ศาลจังหวัดมุกดาหารอนุมัติหมายจับลุงพล ในข้อหา พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันควร
• 20 ธันวาคม 2566: ศาลชั้นต้นพิพากษา จำคุกลุงพล 20 ปี ในข้อหาพรากเด็ก และทอดทิ้งเด็กเพื่อให้เด็กพ้นไปเสียจากตน เป็นเหตุให้เด็กเสียชีวิต ส่วนป้าแต๋น (ภรรยาของลุงพล) ได้รับการยกฟ้อง
• คำพิพากษาศาลอุทธรณ์: ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาแก้ โดยมีคำสั่งเพิ่มโทษ จำคุกลุงพล 26 ปี เพิ่มข้อหาหนักขึ้น เป็นเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล แต่ยังคงยกฟ้องป้าแต๋น นอกจากโทษจำคุกแล้ว ศาลยังให้ลุงพลชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งแก่พ่อและแม่ของน้องชมพู่ด้วย
หลังคำพิพากษา พ่อและแม่ของน้องชมพู่รู้สึกดีใจและขอบคุณทนาย อัยการ และทีมตำรวจ ที่ทำให้คดีนี้ได้รับความยุติธรรมอีกครั้ง ป้าแต๋น ภรรยาของลุงพล และกลุ่มแฟนคลับยูทูบเบอร์ ได้ยื่นขอประกันตัวลุงพล แต่ไม่ทันเวลา ทำให้ลุงพลต้องถูกคุมขังในเรือนจำมุกดาหาร โดยมีแผนที่จะยื่นประกันตัวใหม่เพื่อสู้คดีในชั้นฎีกา ก่อนเข้าเรือนจำ ลุงพลยังทักทายสื่อมวลชนด้วยการชูสองนิ้ว
ในช่วงเวลาของการสอบสวนและดำเนินคดี ลุงพลได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก จนบางช่วงกลายเป็นเหมือนดารา มีแฟนคลับจำนวนมาก และเคยมีการสร้างวังพญานาค ร้องเพลง และออกงานต่างๆ จนมีรายได้มากมาย แต่ในทางกลับกัน แฟนคลับของลุงพลบางส่วนได้เข้าไปโจมตีพ่อแม่ของน้องชมพู่ด้วย
ทนายความและหมอปลาซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือลุงพลในช่วงแรกๆ ก็ได้ถอนตัวออกจากการเป็นทนายความและผู้ช่วยเหลือ เนื่องจากพบพิรุธและไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้
พลตำรวจตรีพศิน พูนสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หนึ่งในคณะทำงานคลี่คลายคดีน้องชมพู่ กล่าวว่า คำตัดสินนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษที่สมควร แต่ยังเป็นการคืนศักดิ์ศรีและความจริงให้กับน้องชมพู่และครอบครัว หลังจากการทำงานอย่างมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดระยะเวลา 5 ปี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง