"วิโรจน์" ถาม ตั๋ว PN "แพทองธาร" จะสืบสวนเสร็จเมื่อไหร่?
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงความคืบหน้าในกรณีการตรวจสอบการซื้อหุ้นของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่มีการนำตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) มาใช้ และได้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจไปเมื่อเดือนมีนาคม 2568 ว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน
นายวิโรจน์ เริ่มต้นการถามกระทู้โดยระบุว่า จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าแพทองธารได้ซื้อหุ้นจากแม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้าสะใภ้ เป็นเงิน 4,434.5 ล้านบาท ชำระเงินโดยใช้ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋ว PN ที่ไม่มีกำหนดการชำระเงิน ไม่มีดอกเบี้ย 5 ฉบับออกในปี 2559 อีก 4 ฉบับออกในปี 2566 แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการชำระเงิน จนมาถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 น.ส.แพทองธารถึงเพิ่งมาสารภาพกลางสภาว่าวางแผนจะเริ่มจ่ายในปี 2569
จนประชาชนจำนวนมากต่างวิพากษ์วิจารณ์และสงสัยว่านี่อาจจะไม่ใช่การซื้อหุ้น แต่เป็นการทำนิติกรรมอำพรางโดยใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงหรือหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ เพราะตั๋ว PN ไม่มีศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ในการดูแล ไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการขึ้นทะเบียน เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วมีการแอบยกหนี้ให้แล้วฉีกตั๋ว PN ทิ้ง สำนักงานสำนักงานสรรพากรในพื้นที่ กองตรวจสอบภาษีกลาง หรือกระทั่งกรมสรรพากรจะติดตามตรวจสอบได้อย่างไร
ที่ผ่านมาอธิบดีกรมสรรพากรออกมาแก้ต่างให้ โดยอ้างถึงประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (4 ช) โดยเชื่อว่านี่คือการซื้อขายหุ้นจริงๆ และถ้ามีการใช้เงินเมื่อไหร่ แม่ พี่สาว พี่ชาย ลุง และป้าสะใภ้ ที่ได้รับกำไรจากการขายหุ้นให้แพทองธาร ก็จะเอาส่วนที่เป็นกำไรมาคำนวณแล้วจ่ายภาษี
นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า แต่ประชาชนไม่เชื่อแล้วว่านี่เป็นการซื้อขายหุ้น ประชาชนสงสัยว่าเป็นการให้ แต่ใช้ตั๋ว PN มาอำพรางว่าเป็นการซื้อ ซึ่งตามมาตรา 42 (26) (27) และ (28) ของประมวลรัษฎากร น.ส.แพทองธารต้องเป็นผู้จ่ายภาษีที่เรียกว่าภาษีการรับให้เป็นมูลค่า 218.7 ล้านบาท
ซึ่งต่อให้เป็นการซื้อขายกันจริง แม่ พี่สาว พี่ชาย ลุง และป้าสะใภ้ ก็คงไม่ต้องจ่ายภาษีแม้แต่บาทเดียว เพราะขายให้กับน.ส.แพทองธารในราคาทุน
กรณีนี้ประเทศจะได้เงินจากน.ส.แพทองธารเพียง 27 บาท เป็นค่าอากรแสตมป์ที่ติดเอาไว้ที่ตั๋ว PN เก้าฉบับ ฉบับละ 3 บาท เมื่อเทียบกับกรณีของ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่โอนหุ้นแสนศิริให้ลูกสาว 661 ล้านหุ้น ลูกสาวเศรษฐาสำแดงอย่างตรงไปตรงมาแล้วเสียภาษีการรับให้ 32 ล้านบาท
ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 ตนได้ไปยื่นหนังสือต่อกรมสรรพากร เพื่อขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรใช้อำนาจตามมาตรา 13 ศต (3) วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการใช้ตั๋ว PN ในการซื้อหุ้นของน.ส.แพทองธาร ว่าเป็นการหลบเลี่ยงหรือหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่
แต่จนมาวันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม ต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ตนได้ขอให้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเศรษฐกิจ เชิญผู้แทนจากกรมสรรพากรมาชี้แจง ซึ่งผู้อำนวยการกองตรวจสอบภาษีกลางได้มาให้คำตอบ คณะกรรมาธิการจึงด้รู้ถึงข้อเท็จจริงว่าปัจจุบันคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรเกิดอุปสรรคในการจัดประชุมเพื่อวินิจฉัยในกรณีนี้
เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่ยอมใช้อำนาจตามมาตรา 13 ทวิของประมวลรัชดากร ในการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 3 รายเข้ามาเป็นกรรมการ จึงทำให้องค์ประกอบไม่ครบ
เท่ากับว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังละเว้นการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาถึง 2 ปี 4 เดือน และหากนับเฉพาะการดำรงตำแหน่งของนายพิชัยเมื่อเดือนเมษายน 2567 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเท่ากับว่ามีการละเว้นการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่มามากกว่า 1 ปี 4 เดือน
นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทุกคน คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงได้ยื่นหนังสือไปสอบถามกรมสรรพากร ว่าถ้าประชาชนคนอื่นจะโอนหุ้นให้ลูก สามารถใช้แพทองธารโมเดล ให้ลูกออกตั๋ว PN แบบไม่มีกำหนดชำระ ไม่มีดอกเบี้ย เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีการรับให้แบบเดียวกันได้หรือไม่
ปรากฏว่าอธิบดีกรมสรรพากรตอบมาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ว่าไม่สามารถตอบได้ ให้รอการวินิจฉัย ซึ่งไม่ได้บอกว่าจะวินิจฉัยเสร็จเมื่อไหร่ เท่ากับว่าในแผ่นดินนี้มีแค่น.ส.แพทองธารเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ตั๋ว PN ทำแบบนี้ได้ใช่หรือไม่
นอกจากนี้ตนยังได้เขียนกระทู้ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ถามอย่างตรงไปตรงมาว่าทำไมถึงยังไม่ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 3 รายตามมาตรา 33 ทวิของประมวลรัษฎากร และที่ชอบอ้างกันนักว่าสิ่งที่แพทองธารทำเป็นการวางแผนภาษีแบบดุดัน ประชาชนคนอื่นจะดุดันได้บ้างหรือไม่ ถามอย่างไรกระทู้นี้ก็ไม่ยอมมาตอบ จนตนต้องถอนกระทู้ออกเมื่อเช้าเพื่อที่จะได้มาถามรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในวันนี้
าคำถามข้อที่หนึ่ง ตนขอถามว่าการวินิจฉัยกรณีการใช้ตั๋ว PN ของน.ส.แพทองธารมีกำหนดการว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ วันที่เท่าไหร่ประชาชนคนไทยทั่วประเทศถึงจะรู้ว่าแพทองธารโมเดลถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย และที่ผ่านมาตนอยากรู้ว่าทำไมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึงไม่ยอมใช้อำนาจตามมาตรา 13 ทวิของประมวลรัษฎากร ในการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 3 รายให้เข้าไปทำหน้าที่ในคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรเสียที
ในส่วนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ต่อกรณีนี้ทางกรมสรรพากรไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีการดำเนินงานตามที่มีข้อร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีการพิจารณาว่าข้อร้องเรียนมีมูลหรือไม่ ตามมาด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริง การวางแผนวิเคราะห์ ตรวจสอบหาข้อมูลภายใน คัดแบบแสดงรายการของบุคคลและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง หาข้อมูลจากภายนอก
รวมทั้งในส่วนของ ป.ป.ช. กรมพัฒนาธุรกิจการค้าของกระทรวงพาณิชย์ ทะเบียนหุ้น จนได้ข้อมูลมาอยู่ในมือของกรมสรรพากรค่อนข้างครบถ้วน ขั้นต่อไปคือการดำเนินการสืบหาข้อเท็จจริง ซึ่งมีการเชิญ 7 บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับการโอนหุ้นเพื่อตรวจสอบอยู่ การดำเนินการในขั้นตอนนี้ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะอำนาจบังคับอยู่ในกรอบเวลาที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องและจะเร่งรัดไม่ได้
.
ต้องยอมรับความจริงยังว่ากระบวนการเรื่องภาษีไม่ได้มีแค่คดีของแพทองธาร แต่ยังมีอีกหลายกรณี ทั้งในส่วนของภาคเอกชน รวมทั้งส่วนของภาคการเมือง แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐาก็มีคดีเกี่ยวกับภาษีที่มีการร้องเรียนเข้ามา กรมสรรพากรก็ดำเนินการอยู่ ในคดีที่เกี่ยวกับการเมืองมีกระบวนการ เช่น การโอนเงินเพื่อสนับสนุนผู้ชุมนุม
ทั้งหมดมีการดำเนินการแบบถูกต้อง ไม่มีการเร่งรัดและไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะในกระบวนการนี้มีการให้ให้คุณให้โทษกับประชาชนได้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อไปว่าขั้นตอนต่อไปของสรรพากร คือการเรียก 7 บริษัทเข้ามาเพื่อทยอยให้ข้อเท็จจริง หลังจากนั้นจึงจะเป็นการสืบสวนสอบสวนโดยเชิญนายกรัฐมนตรีและญาติพี่น้องเข้ามาเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง กระบวนการทั้งหมดยังมีเวลาที่ต้องดำเนินการต่อไป
จะตอบว่าเสร็จเมื่อไหร่คงไม่ได้ หลังจากที่ดำเนินการครบถ้วนแล้วกรมสรรพากรต้องมาวินิจฉัยว่าข้อร้องเรียนนั้นมีมูลหรือไม่ หากไม่มีมูลก็เป็นอันตกไป หากมีมูลก็ต้องส่งไปที่คณะกรรมการวินิจฉัยฯ
และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังไม่ได้ดำเนินการตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวินิจฉัยฯ ให้ครบถ้วน ก็เป็นเพราะคณะกรรมการวินิจฉัยฯ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2520 มีกรณีที่ต้องเข้าสู่คณะกรรมการวินิจฉัยฯ เพียงแค่ 42 รายการเท่านั้น และคราวล่าสุดที่มีการประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
จริงคือปี 2563 ในเรื่องของความเร่งด่วนจึงไม่มี อีกทั้งหากมีความจำเป็นจะต้องดำเนินการก็ไม่ใช่เป็นการยาก เมื่อถึงเวลาหากสรรพากรวินิจฉัยว่าเรื่องนี้มีมูลเพียงพอที่จะต้องส่งเข้าคณะกรรมการวินิจฉัยฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็สามารถเร่งรัดในการตั้งบุคลากรเข้าไปเติมให้เต็มได้ แต่ในขณะนี้เมื่อไม่มีเรื่องเข้าจึงไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ และไม่มีบทลงโทษหรือข้อกำหนดว่าคณะกรรมการวินิจฉัยฯ จะต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนตลอดเวลา