นักเศรษฐศาสตร์ชี้ “จีน” ต้องเพิ่มสวัสดิการ-รายได้ครัวเรือน ดันการบริโภคแตะ 50% ของจีดีพีใน 10 ปี
นักเศรษฐศาสตร์ชี้ "จีน" ต้องเพิ่มสวัสดิการ-รายได้ครัวเรือน ดันการบริโภคแตะ 50% ของจีดีพีใน 10 ปี พร้อมเสนอเพิ่มบำนาญผู้มีรายได้น้อย โอนสินทรัพย์รัฐเข้ากองทุนประกันสังคม ปฏิรูประบบทะเบียนบ้าน
วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เวลา 13.46 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักวิชาการที่ปรึกษานโยบายระบุว่าจีนจำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายด้านสวัสดิการสาธารณะในทศวรรษหน้า เพื่อขยายการบริโภคให้มีสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้มีการปรับทรัพยากรจากการลงทุนและการผลิตมาสู่การบริโภคมากขึ้น
หลู่ เฟิง (Lu Feng) ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และที่ปรึกษากระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ของจีน กล่าวว่า ประเทศควรตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการบริโภคต่อจีดีพีขึ้นอีก 5-10% ภายใน 5–10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่อยู่เพียงประมาณ 40%
หลู่ กล่าวในงานสัมมนาที่จัดโดยมหาวิทยาลัยปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ว่า “เราพบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การขาดอุปสงค์ภายในทำให้เกิดปัญหารุนแรงได้ แม้การผลิตภาพรวมจะเติบโตเร็ว หากไม่แก้ไข จะนำไปสู่ปัญหามากมาย เช่น ราคาผู้บริโภคที่ซบเซา กิจกรรมธุรกิจอ่อนแรง ความกดดันการว่างงานเชิงโครงสร้าง และความเชื่อมั่นต่ำ”
การบริโภคจึงกลายเป็นจุดสนใจสำคัญ ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายกำลังร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับถัดไป (Five-Year Plan) ครอบคลุมช่วงปี 2026–2031
เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ส่งสัญญาณเปลี่ยนทิศทางนโยบายไปสู่การสนับสนุนการบริโภค หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง โดยจีนเพิ่มการใช้จ่ายในด้านการศึกษาและการจ้างงาน แต่ยังไม่กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
ตามข้อมูลธนาคารโลก ปัจจุบันสัดส่วนการบริโภคครัวเรือนต่อจีดีพีของจีนอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 56% และต่ำกว่าประเทศรายได้สูงที่เกือบ 60%
หลู่ เป็นหนึ่งในเสียงนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังที่ออกมาเรียกร้องให้เพิ่มรายได้และการใช้จ่ายครัวเรือน เช่นเดียวกับ เผิง เสิ่น (Peng Sen) ประธานสมาคมปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ที่กล่าวเมื่อเดือนมีนาคมว่าจีนควรเพิ่มสัดส่วนการบริโภคให้แตะ 70% ของจีดีพีภายในปี 2578
ปัญหาความเอนเอียงสู่การลงทุน
หลู่ ระบุว่าตลอดหลายชั่วอายุคนที่ผ่านมา จีนมุ่งเน้นการตามทันและแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วด้านผลิตภาพและเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ทรัพยากรสาธารณะถูกทุ่มไปที่การผลิตและการลงทุนมากเกินไป และประเมินว่ารัฐบาลควบคุมทรัพยากรสาธารณะราว 45% ของจีดีพี รวมรายได้ทางการคลังและรายได้จากรัฐวิสาหกิจ โดยส่วนใหญ่ใช้กับโครงการลงทุนและมาตรการสนับสนุนผู้ผลิต เช่น การลดภาษี
ดังนั้นรัฐบาลควรเพิ่มการจัดสรรทรัพยากรให้กับภาคครัวเรือน เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซากลายเป็นปัญหาหลักต่อเศรษฐกิจ
หนึ่งในแนวทางที่เสนอคือ การเพิ่มเงินบำนาญให้กับประชาชนรายได้น้อย เช่น ชาวชนบทและผู้ว่างงานในเมือง เนื่องจากกลุ่มรายได้นี้มีแนวโน้มใช้จ่ายสูงสุด โดยปี 2566 บำนาญเฉลี่ยของกลุ่มดังกล่าวอยู่เพียง 214 หยวนต่อเดือน หรือราว 30 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 3,162 หยวนสำหรับพนักงานเอกชน
เครื่องมือนโยบายที่เสนอ
ในงานเดียวกัน สวี่ เกา (Xu Gao) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Bank of China International Ltd. เสนอให้รัฐบาลโอนสินทรัพย์รัฐมูลค่า 10 ล้านล้านหยวน เช่น หุ้นในรัฐวิสาหกิจ เข้ากองทุนประกันสังคมแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการบริโภคราว 1 ล้านล้านหยวนต่อปี
อีกทางเลือกคือ การปฏิรูประบบทะเบียนบ้าน (hukou) เพื่อให้แรงงานอพยพจากชนบทเข้ามาอยู่ในเมืองสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและการรักษาพยาบาล ได้อย่างเท่าเทียม
หลู่ ยังชี้ด้วยว่าการประเมินสัดส่วนการบริโภคในอดีตอาจต่ำกว่าความจริงราว 5–6% เนื่องจากสำนักงานสถิติแห่งชาติใช้วิธีคิดต้นทุนก่อสร้างของที่อยู่อาศัย แทนการใช้ค่าเช่าเทียบเคียงแบบสากล
อย่างไรก็ตามการปรับปรุงวิธีการทางสถิติปลายปี 2566 ช่วยสะท้อนการบริโภคได้แม่นยำขึ้น และทำให้จีดีพีปี 2566 ถูกปรับทบทวนเพิ่มขึ้น
อ้างอิง : bloomberg.com