หุ้นเสี่ยเจริญ "BJC-AWC" รุกรักษาโมเมนตัม สู้พิษเศรษฐกิจซึมลึก!
"หุ้นเสี่ยเจริญ" ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีมากมาย แต่ที่น่าสนใจและโดดเด่นเห็นจะเป็น "บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC" ธุรกิจสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ และ"บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC" ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ซึ่งเป็นบริษัทที่ "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ถือหุ้นใหญ่ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แม้ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 เจ้าสัวเจริญได้โอนหุ้นทั้งหมดผ่าน "บริษัท ศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด" ให้แก่บุตรธิดาทั้ง 5 ท่านในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อส่งต่ออาณาจักรธุรกิจให้กับทายาท คือ อาทินันท์, วัลลภา, ฐาปน, ฐาปณี และ ปณต
แน่นอนว่าภายใต้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย กำลังซื้อหดหาย ต่างชาติเที่ยวไทยลดลงนั้น กระทบภาพรวมธุรกิจของ BJC และ AWC ในช่วงครึ่งปีหลัง และโอกาสการเติบโตในอนาคตมากน้อยเพียงใด ?
ได้รับคำยืนยันคำตอบในงาน Opportunity Day ทาง "บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC" ยอมรับว่ายอดขายตลอด 8 เดือนถือว่าดี เชื่อว่ายอดขายทั้งปีจะเติบโตในอัตราตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ (Low Single Digit) ผลจากกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค (Consumer supply chain) ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวดี ผลงานกลุ่มอาหาร การดูแลส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ใหม่ขยายตัวดีต่อเนื่อง
อีกทั้ง กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค (Health care & Technical supply chain)สามารถรักษาการเติบโตตัวเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง (Mid - High single digit) จากการเติบโตในกลุ่มวิตามิน
"เราพยายามรักษาระดับการเติบโตมาร์เก็ตแชร์กระดาษเช็ดหน้า กระดาษชำระที่ 30-40% ในทุกช่องทาง และมีการขยายไปกลุ่มพรีเมียมมากขึ้นช่วยผลักดันยอดขายได้ดี"
ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้งในช่วงครึ่งปีหลังคาดกลับมาเติบโตจากลูกค้าใหม่และการขยายกลุ่มส่งออกขวดแก้วและกระป๋องเพิ่มขึ้น แม้ครึ่งปีแรกลดลง นั่นหมายความว่าผลงานทั้งปีจะเติบโตในระดับไม่เปลี่ยนแปลง (Flat) ส่วนกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ อย่าง BigC ยอมรับว่าในช่วงครึ่งปีแรกการบริโภคชะลอตัวลง แต่ครึ่งปีหลังเน้นนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความต้องการลูกค้า (Assortment) มากขึ้น
สำหรับเม็ดเงินลงทุนในปี 2568 นี้ ตั้งเป้าที่ 10,000-12,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนเปิดสาขาและการรีโนเวท BigC เป็นต้น
"บิ๊กซีมินิ เดิมจะเปิด 200 สาขาเหลือเพียง 100-120 สาขา เน้นขยายสาขาที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าปริมาณ ครึ่งปีแรกเปืด 25 สาขา และมีแผนปิดปีนี้ 164 สาขา เหลือปิดอีก 120 สาขา ยอดขายสาขาเดิม(SSSG)ครึ่งปีแรกลดลง -0.6% โฟกัสกลุ่มเฟรช ฟู้ด ส่วนดรายฟู้ดที่เกี่ยวกับสภาพอากาศ พวกเครื่องดื่ม บุหรี่ ลดลง ด้าน Big Point มีลูกค้า 21.5 ล้านราย พยายามกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและใช้พ้อยท์ ปัจจับุนใช้ 66% คาดสิ้นปีแตะ 70% ส่วน Distribution Center ที่บางปะอินสามารถรองรับความต้องการได้"
AWC ย้ำไตรมาส 3 ท้าทาย-ไตรมาส 4 ดี
"บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC" เชื่อมั่นว่าผลงานในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาส 4/2568 ยอดจองดีมาก โดยโรงแรมเชียงใหม่ เติบโต 30% สมุยและกระบี่ บุ๊คกิ้งโต 20% แม้แนวโน้มไตรมาส 3/68 ยังเผชิญความท้าทาย
บริษัทจะมีโรงแรมรวมทั้งสิ้น 25 แห่ง รวม 6,834 ห้อง โดยเปิด 2 แห่งในช่วงที่ผ่านมา คือ MELIA พัทยา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมี อัตราการเข้าพัก (Occupancy rate) เพิ่มขึ้น 50% และอัตรารายวันเฉลี่ยของห้องนั้น (ADR) อยู่ที่ 5,000 บาท ส่วน MARRIOTT พัทยา คาดว่า Occupancy rate จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 50% ภายในสิ้นปีนี้ และ ADR จะอยู่ที่ 5,500-6,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังได้
ส่วนปี 69 มีแผนเปิดโรงแรมอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย Fairmont Bangkok Sukhumvit , The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok และ Hotel Plaza Athenee Nobu New York และ ปี 70 บริษัทมีแผนเปิดโรงแรมรวม 4 แห่ง ขณะที่ปี 71-72 คาดเปิดอีก 10 แห่ง
นอกจากนี้ในไตรมาส 4 เข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวเข้ามาหนุน Jurassic World ค่อนข้างเป็นกระแสในโซเชียล สามารถดึงดูดนักท่องที่ยวเข้าชมราว 3,200 คนต่อวัน ส่งผลบวกต่อร้านอาหารในเอเชียทีคให้กลับมาฟื้นตัวดีเช่นกัน
"ปัจจัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลังที่เราให้ความสำคัญคือการสร้างความเติบโตระยะยาว และเรามีวินัยทางการเงิน คุม D/E ระดับที่เหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นใจในผู้ถือหุ้นและนักลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว"
ส่วนปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบนั้น ในวันนี้ AWC มีพาร์ทเนอร์เป็นเชนระดับโลกเข้ามาเชื่อมกับบริษัททำให้เกิดความร่วมมือในคอมมูนิตี้อย่างแข็งแกร่ง ส่วนแง่เศรษฐกิจที่ถดถอยนั้น ด้วยกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มลูกค้า Luxury จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก.