“กทท.-กรมศุล”เซ็น MOU เชื่อมต่อระบบ Scanning ตรวจปล่อยตู้สินค้า
“มนพร” จับ “การท่าเรือฯ8203; – กรมศุล8203;กากร” เซ็น MOU เชื่อมต่อระบบ Scanning ตู้สินค้า ยกระดับสู่มาตรฐานโลก ตอบสนองความต้องการผู้ประกอบการ – ภาคธุรกิจ หนุนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศระยะยาว
วันที่ 25 ส.ค. 68 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จากระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ (Scanning System) โครงการพัฒนาระบบ Scanning เพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประมวลข้อบังคับว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ (International Ship and Port Facility Security Code : ISPS Code) ระหว่าง การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และกรมศุลกากร
นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า การทำ MOU ระหว่าง การท่าเรือฯ และกรมศุลกากร ในการเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จากระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ ถือเป็นก้าวสำคัญของการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล การพัฒนาศักยภาพด้านโลจิสติกส์ และการศุลกากรของประเทศ เพื่อยกระดับการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยของท่าเรือไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล มีความโปร่งใส รวดเร็ว แม่นยำ ในการตรวจปล่อยสินค้า และการเป็น Smart Port สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคมในการขับเคลื่อนระบบโลจิสติกส์ของไทยให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน ตลอดจนภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
โครงการนี้ ได้มีการศึกษามาประมาณ 1 ปีครึ่งแล้ว และหลังจาก MOU แล้ว กทท.จะสรุปเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรอง จากนั้นจะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด กทท.)8203;พิจารณาอนุมัติต่อไป โดยจะเริ่มที่ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ก่อนทั้งนี้จะมีคณะกรรมการฯเพื่อศึกษาความพร้อมของแต่ละท่าเรือ เนื่องจากต้องดูกายภาพทางเข้าออกประกอบด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานนำร่องได้ภายในปี 69
“การใช้เครื่อง X-Ray เชื่อมต่อข้อมูล Scanning System จะลดระยะเวลาการรอคิวของรถบรรทุก ซึ่งปัจจุบันท่าเรือแหมฉบังมีความแออัด ปริมาณตู้สินค้าที่เข้ามา ต้องใช้เวลานาน , ลดค่าใช้จ่าย ที่ต้องใช้อุปกรณ์จำนวนมาก”
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยทางทะเลและระบบท่าเรือไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ภายใต้ข้อกำหนดของ ISPS Code สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน และพันธมิตรทางการค้า ขณะเดียวกันยังสะท้อนวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ กทท. และกรมศุลกากร ที่นำเทคโนโลยีและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานมาเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางทะเลและยกระดับระบบโลจิสติกส์ของประเทศ เป็นการบูรณาการศักยภาพของ กทท. และกรมศุลกากร
โดย กทท. จะพัฒนาระบบเชื่อมต่อข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อนำไปใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มดำเนินการที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือหลักด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเป็นแห่งแรก และจะขยายสู่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรืออื่น ๆ ของ กทท. ในอนาคต
ปัจจุบัน กรมศุลกากร จะมีการสุ่มตรวจตู้คอนเนอร์สินค้า สัดส่วนไม่เกิน 10% ของปริมาณตู้สินค้าเข้าและออกทั้งหมด และกรณีพบตู้คอนเทนเนอร์ ที่ผิดสังเกตุ หรือต้องสงสัย ก็จะเป็นขั้นตอนการเปิดตู้ ส่วนท่าเรือฯไม่มีการตรวจ X-Ray สินค้า ความร่วมมือนี้ จะเป็นการเริ่มต้นและนำไปสู่ ISPS Code
สำหรับการลงทุนฯนั้น กทท.จะต้องศึกษาทั้งเรื่องเครื่อง X-Ray และกายภาพพื้นที่บริเวณ GATE ทางเข้าออกท่าเรือแหลมฉบัง
ทั้งนี้ กทท. และกรมศุลกากรได้กำหนดแนวทางการใช้และการบริหารจัดการข้อมูลอย่างรัดกุม เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความมั่นคงระหว่างประเทศ พร้อมทั้งจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการบริหารจัดการและกำกับดูแลระบบเชื่อมโยงอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อกำหนดมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูล ติดตามผลการดำเนินงาน แก้ไขปัญหาทางเทคนิคและพัฒนาระบบให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยจะประชุมและประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐและมาตรฐานสากล
10 ล้านในปีนี้
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO