อายุ 45 ปี เกษียณหรือตกงาน
ปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ผมมีอายุ 44-45 ปี บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ผมทำงานในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอยู่ กำลังล่มสลาย ผมถูกให้ออกจากงานที่มีความมั่นคง เงินเดือนสูง และมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว
ก่อนถึงวันนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะต้อง “ตกงาน” เพราะถูกให้ออก ผมคิดว่าผมคงจะอยู่ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันเกษียณที่อายุ 60 ปี และมีเงินเก็บหรือเงินออม รวมถึงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทจัดให้เพียงพอที่จะอยู่ต่อไปได้ตลอดชีวิต อาจจะที่ 80 ปี แม้ว่าในวันนั้นผมยังไม่เคยคิดถึงเรื่องแผนการเงินเพื่อการเกษียณ หรือแผนการเงินเพื่อความมั่งคั่ง หรือเพื่ออะไรต่าง ๆ รวมถึงแผนการเงิน“เพื่อความสุข” เพราะในเวลานั้น ไม่มีใครคิดหรือพูดกันในเรื่องเหล่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ยังไม่ค่อยมีใครที่“แก่” พอที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้นในประเทศไทย
อายุเพิ่งจะ 40 สิบกว่า ถ้าพูดถึงวันที่จะเกษียณก็คงเป็นคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานหรือมีพลังในการที่จะทำงานหาเงินเพื่อความมั่งคั่งพอ คนอายุเลข 4 นั้น เป็นช่วงที่เรียกว่า“Prime” ที่สุดของชีวิต เพราะมีความรู้และประสบการณ์เพียงพอที่จะทำงานสำคัญที่สุดของกิจการหรือบริษัท เป็นช่วงที่ยังมีพลังและความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิต และแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่หาเงินได้สูงสุดในฐานะคนขายแรงงาน ในช่วงเวลานั้น
แต่อายุ 45 กลับเป็นเวลาที่ผม “ตกงาน” และโอกาสที่จะหางานที่ดีเหมือนเดิมแทบไม่มี เงินเก็บออมที่มีอยู่นั้น ไม่น่าจะพอที่จะใช้ชีวิตในครอบครัวที่มีภรรยาที่ไม่ได้มีเงินเดือนและมีรายได้เพียงจากการสอนเปียโนและลูกเล็กที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว ผมคิดว่าเส้นทางชีวิตผมและครอบครัวอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงถ้าผมจะต้อง “เกษียณก่อนกำหนด” อย่างไม่ตั้งใจ
โชคดีที่ผมได้งานใหม่อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่ได้มีความหมายอะไรแต่ก็ไม่ได้เป็นงานหนักซึ่งทำให้ผมมีเวลาคิดและทำสิ่งที่ผมเริ่มเห็นว่าเป็น “ชีวิตใหม่” ของผม นั่นก็คือ “การลงทุนในตลาดหุ้น” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยเคยทำกันแบบ “บ้าคลั่ง” แต่ในวันนั้นกลับเป็นสิ่งที่คนเลิกทำกันหมด คนที่เพิ่งคิดว่าจะเข้าไปทำคงจะถูกมองว่าเป็น “คนบ้า” เพราะตลาดหุ้นนั้นเป็นแหล่งที่ทำลายคนที่เข้าไปเล่นจนหมดตัวและบางคนถึงขนาดจะฆ่าตัวตายเพราะ “เจ๊งหุ้น” เช่นเดียวกับบริษัทและกิจการต่าง ๆ ที่อยู่ในตลาดหุ้นที่ก็กำลัง “ล่มสลาย” เหมือนกัน
ผมคงไม่ต้องบอกว่า การประสบกับปัญหาชีวิตที่ต้องตกงานที่อายุ 44 ปี ครั้งนั้น เป็นโชคดีที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนของผม ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทุกทาง ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น“เหนือจินตนาการ” ความสุขเพิ่มขึ้น “เต็มศักยภาพ” เพราะมีความมั่นคงในชีวิตและมีเงินมากพอที่จะซื้อความสุขบางอย่างที่ซื้อได้ และซื้อความสะดวกสบายที่ช่วยลดความทุกข์หลาย ๆ อย่างลงไป
ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างต่อไปอีกประมาณ 7-8 ปี จนถึงอายุ 51-52 ปี จึง “เกษียณ” ตัวเองจากงานประจำมาเป็น “นักลงทุน” เต็มตัวในวันที่มีเงินมากพอแล้ว ซึ่งไม่ใช่เงิน 200-250 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนที่เป็นอัตราที่ใช้วัดกันเป็นมาตรฐาน เช่น ถ้ามีรายจ่ายเดือนละ 4-50,000 บาท จะต้องมีเงินในพอร์ตลงทุน 10 ล้านบาท เป็นต้น แต่ในกรณีของผมนั้น ถ้าจำไม่ผิด ผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยจากการลงทุนในวันที่ผมเกษียณน่าจะมากกว่า 5 เท่าของรายจ่ายประจำปีแล้ว และที่ผมเกษียณก็ไม่ใช่เพราะเงินในพอร์ตมากพอแล้ว แต่เป็นเพราะว่างานประจำนั้นหนักและมีความเสี่ยงสูงเกินไป
ความคิดและความเห็นของผมสำหรับการ “เกษียณก่อนกำหนด” ก็คือ เราควรจะมีเงินจาก Passive Income หรือรายได้ที่มาจากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้มาจากการทำงานด้วยแรงงาน สูงกว่ารายจ่ายประจำปีเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2-3 เท่า โดยที่การคำนวณผลตอบแทนและรายจ่ายจะต้องอนุรักษนิยมมาก เช่น
ถ้าเป็นพอร์ตหุ้น รายได้จากการลงทุนต่อปีไม่ควรจะเกิน 5% ต่อปี พันธบัตรและหุ้นกู้ ไม่ควรเกิน 3% และเงินฝากก็ไม่เกิน 1% ส่วนสินทรัพย์อื่นที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เช่น ทองและที่ดินหรือบ้านที่ไม่ได้ให้เช่า ผลตอบแทนก็คือ 0% ส่วนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่านั้นก็ดูตามที่เป็นจริงว่ามีรายได้เท่าไรต่อปีในอดีตที่ผ่านมา และก็อย่าไปเชื่อหรือใช้ตัวเลขของคนที่ “ขายบริการบริหารเงิน” ที่มักจะบอกว่าหุ้นให้ผลตอบแทนปีละ 10% ในระยะยาว เพราะอดีตไม่น้อยกว่า 10 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยนั้น ผลตอบแทนต่อปีแทบจะเป็น 0%
ในด้านของรายจ่ายนั้น การประมาณการแบบอนุรักษนิยมหมายความว่า รายจ่ายนั้นต้องรวมเหตุฉุกเฉินที่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น เรื่องของสุขภาพและวินาศภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินและอื่น ๆ ด้วย นอกจากนั้น ที่สำคัญมากก็คือ อัตราเงินเฟ้อที่จะทำให้รายจ่ายประจำปีจะต้องเพิ่มขึ้น จริงอยู่ เงินเฟ้อพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปของไทยอาจจะไม่สูง แต่บางรายการเช่น เงินเฟ้อที่เกี่ยวกับสุขภาพหรือการศึกษาอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าได้
ด้วยแนวคิดและการคำนวณรายได้และรายจ่ายดังกล่าว บวกกับประสบการณ์ส่วนตัว ผมคิดว่า คนกินเงินเดือนส่วนใหญ่ รวมถึงคนที่มีตำแหน่งงานที่สูงระดับหนึ่ง และแม้ว่าจะเป็นคนที่จบการศึกษาระดับสูงรวมถึงที่จบจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ถ้าไม่มีทรัพย์สินหรือมรดกจากพ่อแม่มาก่อน จะไม่สามารถหรือไม่ควรที่จะเกษียณก่อนกำหนดในช่วงอายุ 45 ปี หรืออาจจะถึง 50 ปี เพราะรายได้จะหายไปมากในยามที่กำลังทำรายได้สูงสุดตามเงินเดือนและตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน เงินออมและเงินลงทุนก็น่าจะยังมีไม่พอที่จะสร้างรายได้ Passive Income ที่มากพอและปลอดภัยที่จะนำมาใช้จ่ายได้อย่างไม่กังวลที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ชีวิตมีปัญหา
ว่าที่จริง ผมคิดว่าการที่คนรุ่นปัจจุบันจะมีอายุที่ยืนยาวเป็น 100 ปี การเกษียณที่อายุ 60 สำหรับคนส่วนใหญ่ก็แทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตัวเลข 60 ปี นั้น ในช่วงที่เป็นเด็กผมจำได้ว่าคนอายุ 60 ปีก็ถือว่าแก่มากและมักจะใกล้ตายแล้ว ดังนั้น การพูดถึงเรื่องการเกษียณที่อายุ 45 ปีสำหรับคนรุ่นใหม่จึงเป็นเรื่อง“เพ้อฝัน” สำหรับผม เป็นเรื่องของ “นักสร้างแรงบันดาลใจ” ที่พยายามสร้างความฝันให้คนคิดถึงการทำธุรกิจหรือการทำสตาร์ทอัพเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะใช้ชีวิตที่อิสรเสรีมีความสุขตั้งแต่อายุยังน้อย โดยที่ตัวอย่างนั้นมีมากมาย “ผมทำได้ คุณก็ทำได้”
แน่นอนว่า มีคนทำได้ แต่คนที่ทำได้นั้น ส่วนใหญ่อาจจะมีฐานของทุนจากครอบครัว หรือในกรณีที่อยู่สหรัฐหรือประเทศที่ก้าวหน้าก็จะมีฐานของทุนจากสถาบันการเงินและกองทุนเวนเจอร์แคบปิทัลต่าง ๆ นอกจากนั้น พวกเขาก็มักจะเป็นคนที่กล้าเสี่ยงและเสี่ยงได้ นอกจากนั้น พวกเขาจะต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่นการเป็นผู้นำ การมีความสามารถทางด้านการศึกษาและความรู้ในการทำผลิตภัณฑ์และ/หรือความรู้ทางธุรกิจ พูดง่าย ๆ คนที่สามารถทำได้และกล้าทำน่าจะมีจำกัด คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้
ถ้าบริษัทหรือกิจการเปิดให้มีการเกษียณก่อนกำหนดสำหรับคนที่มีอายุแค่ 45 ปีขึ้นไปในยามนี้ เหตุผลก็คงเป็นว่า คนอายุ 45 ปีขึ้นไปอาจจะไม่สามารถสร้างผลงานให้บริษัทในอนาคตได้คุ้มค่ากับเงินเดือนที่สูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่คนอายุมากจะตามไม่ทัน ดังนั้น เขาต้องการลดคนกลุ่มนี้ลง
ถ้าเราเป็นคนกลุ่มนี้ แล้วกำลังคิดถึงการ “เกษียณก่อนกำหนด” เพื่อไปใช้ชีวิต “ในฝัน” ผมคิดว่าจะต้องตรึกตรองให้ดี เพราะความเป็นจริงจากตัวเลขและเหตุผลที่กล่าวมานั้น มันอาจจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และถ้าเราทำ สุดท้ายมันอาจจะเป็น “ฝันสลาย”
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ชีวิตหลังเกษียณนั้น อาจจะไม่ได้มีความสุขตามที่เราฝันไว้ ตัวอย่างเช่น การไปอยู่ในชนบทและทำสวนไร่นาเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ถ้าต้องทำทุกวันก็อาจจะน่าเบื่อ อย่าลืมว่าอากาศเมืองไทยนั้นร้อนตลอดปี เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวที่มีความสุขนั้น ถ้าเที่ยวคนเดียวบางทีก็อาจจะเหงาและเบื่อได้ถ้าทำบ่อยเกินไป
ถ้าพูดถึงพื้นฐานของมนุษย์วัดจาก“ยีน” แล้ว ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้นก็คือการทำงานหาอาหาร ที่อยู่อาศัย และปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิต เพื่อที่จะ “เอาตัวรอด” ซึ่งในสมัยนี้ก็คือการ“หาเงิน” ซึ่งหลัก ๆ ก็คือ“การทำงาน” แต่เมื่อทำมากและเครียด ก็ต้องพักผ่อนหาความรื่นรมย์ ดังนั้น ชีวิตที่ดีและมีความสุขก็คือ ทำงาน พักผ่อน และหาความรื่นรมย์ ในอัตราที่พอเหมาะสำหรับแต่ละคน การ“เกษียณ” นั้น เป็นวิถีชีวิตที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ร้อยปี สมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็กนั้น พูดตามตรง ครอบครัวและตัวผมเองไม่เคยมีคำว่าเกษียณ การหยุดทำงานก็เพราะว่าทำไม่ไหว และนั่นก็คือตอนที่แก่มากและใกล้ตาย
ดังนั้น ถ้าถูก “บังคับ” ให้เกษียณก่อนกำหนด เราควรจะคิดว่าเรา “ตกงาน” และก็ต้องหาทางใหม่ อาจจะเป็นแบบผม ที่หางานที่เบาลงและไม่ตรงกับอาชีพเดิมเพื่อ “หาเงิน” นอกจากนั้น ก็อาจจะต้องคิดถึงการ“ลงทุน” ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์แม้ผมจะคิดว่านี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ดีและอาจจะจำเป็น แต่อาจจะเป็นการทำธุรกิจหรืองานใหม่ที่แตกต่างจากการเป็นลูกจ้างประจำ ซึ่งในยุคนี้ เราก็อาจจะทำได้ไม่ยากนัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้าเราต้อง “ตกงาน” จาก AI เราก็อาจจะต้องศึกษาดูว่าเราจะเรียนรู้และใช้ AI เปลี่ยนชีวิตเราได้ไหม?
ทั้งหมดนี้ด้วยความปรารถนาดีจากผมที่เคย “โชคดี” ที่ต้องตกงานในช่วงอายุ 45 ปี
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร