ตั้งไว้ 100 ล้าน แต่ดันทำเกิน! ‘YOLK’ ขอจบปีที่ ‘200 ล้าน’ เตรียมเสิร์ฟบนฟ้า-เข้าสะดวกซื้อ
หลังจากประสบความสำเร็จกับ “Holiday Pastry” ร้านขนมหวานที่โตจากออนไลน์จนมีหน้าร้านหลายแห่ง ถัดจากนั้นไม่นาน “อิน-สาริน รณเกียรติ” และ “ไทด์-วสุวัส คูหาเปรมกิจ” จับมือเปิดตัวแบรนด์ใหม่ที่มุ่งขายโปรดักต์เพียงหนึ่งอย่าง โดยมี “ทาร์ตไข่” เป็นพระเอก
“YOLK” (โยล์ค) ร้านทาร์ตไข่ที่เริ่มขายเมื่อช่วงปลายปี 2567 จนเกิดเป็นกระแสคิวยาวแห่งบรรทัดทอง แม้จะขยายขึ้นห้างไปหลายแห่งแล้ว แต่ “YOLK” ก็ยังแรงดีไม่มีตก กระทั่ง “อิน” เปิดเผยว่า จากเดิมที่ตั้งเป้าแตะร้อยล้านภายในสิ้นปี 2568 ตอนนี้ยอดขายทะลุเป้าไปเรียบร้อยแล้ว
ช่วงเวลาที่ “YOLK” ถือกำเนิดขึ้น ตรงกับกระแสทาร์ตไข่ฮ่องกงมาแรงมากๆ แม้ตอนนี้เทรนด์จะเบาบางลงไปตามวัฏจักร แต่ยอดขายของ “YOLK” ก็ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือนนับตั้งแต่เปิดร้าน “อิน” บอกว่า แบรนด์เก็บข้อมูลอินไซต์ร่วมกับเดลิเวอรีค่ายสีเขียวเข้มมาพักใหญ่ พบว่า มีกลุ่มคนที่นิยมกินขนมอบหรือทาร์ตไข่ก่อนเป็นเทรนด์อยู่แล้ว และเป็นจำนวนมากพอที่จะทำให้แบรนด์ยืนระยะได้อย่างมั่นคง
สิ่งสำคัญที่จะหล่อเลี้ยงให้แบรนด์เติบโตได้แบบที่มี S-Curve ตลอดปี นอกจากรสชาติและคุณภาพที่ต้องรักษาให้มั่น “อิน” บอกว่า ต้องทำให้แบรนด์เซ็กซี่ มีโปรเจกต์ใหม่อยู่เรื่อยๆ นั่นจึงเป็นที่มาของ “Proudly, Made in Thailand” ที่นำทาร์ตไข่ YOLK จับมือร่วมกับอีก 4 แบรนด์ไทย สื่อสารคล้ายกับ “Fighting Project”
ทั่วโลกรู้อยู่แล้วว่า เมืองไทยเป็นครัวโลก โดดเด่นเรื่องต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น แต่นอกจากอาหารไทยเหล่านี้ยังมีแบรนด์ไทยเก่งๆ ซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย โปรเจกต์นี้จึงเป็นการรวมตัวของแบรนด์ไทยโมเดิร์นทั้ง 5 เพื่อแนะนำตัวให้คนไทยและทั่วโลกได้รู้จักเพิ่มขึ้น
“Proudly, Made in Thailand” แบรนด์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก จะเปิดขายทาร์ตไข่โยล์ค 4 รสชาติ ตลอด 4 สัปดาห์ เริ่มตั้งวันที่ 18 สิงหาคม ไปจนถึง 31 ตุลาคม 2568 โดยเป็นความร่วมมือกับ
- โอ้กะจู๋
- Songwat Coffee Roasters
- แก้ว Boutique
- เจี้ยนชา
ดึงจุดเด่นของแต่ละแบรนด์มาผสานร่วมกับเมนูทาร์ตไข่ที่ให้รสชาติอร่อยลงตัว
-โปรเจกต์ Proudly, Made in Thailand เปิดตัวทาร์ตไข่ 4 รสชาติ-
หลังจากปล่อยโปรเจกต์นี้ออกไป “YOLK” คาดหวังว่าจะพา ยอดขายทาร์ตไข่YOLK ทะลุ 2 แสนชิ้นต่อเดือน จากเดิมที่ขายได้ 1 แสนชิ้นต่อเดือน ที่ผ่านมาทำตามเป้าที่วางไดเรกชันไว้ได้ตามขั้นบันได เปิดสาขาใหม่ๆ จนถึง 8-10 สาขาสำเร็จ กระจายให้ครบย่าน CBD ทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน เอ็มสเฟียร์ เซ็นทรัลพาร์ค เซ็นทรัลลาดพร้าว รวมถึงเปิดเดลิเวอรีฮับที่เจริญนครและสุขุมวิท จากนั้นจึงขยายไปรอบนอกตามหัวมุมเมือง
เห็บขายดีทะลุเป้าแบบนี้ เมื่อถามว่า “YOLK” ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เผาจริงที่ธุรกิจร้านอาหารกำลังเผชิญอยู่มากน้อยแค่ไหน “อิน” บอกว่า ปีนี้เห็นชัดว่าร้านดึงเงินออกจากกระเป๋าผู้บริโภคยากขึ้น ถ้าจะขายสินค้าเดิมในราคาเท่าเดิมต้องมีลูกเล่นมากขึ้น ต้องให้ความคุ้มค่ามากขึ้น
เขายกตัวอย่างกลยุทธ์ของ “Holiday Pastry” เดินเกมด้วย “Downsizing” เพื่อให้ผู้บริโภคใช้จ่ายถี่ขึ้น แม้จะใช้จ่ายต่อครั้งน้อยลง แต่ถ้าซื้อด้วยความถี่ที่มากขึ้นเงินที่ใช้ต่อเดือนก็จะมีสัดส่วนเท่าเดิม ความหมายก็คือร้านใช้วิธีลดขนาดผลิตภัณฑ์ ทำให้ราคาจับต้องง่าย ลูกค้าก็จะมาหาบ่อยขึ้นนั่นเอง
-อิน-สาริน รณเกียรติ ผู้บริหารและหนึ่งในผู้ก่อตั้ง YOLK-
อย่างไรก็ตาม แม้จะออกปากว่ายากขึ้นจริง แต่ “YOLK” กลับโตทะลุเป้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ จากเคยตั้งไว้ร้อยล้าน ตอนนี้ปรับเป้าปลายปีเป็น “200 ล้านบาท” เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวยอดขายทุกสาขาทำเงินได้ใกล้เคียงกันหมด หากถามว่า “Key Success” ของ YOLK คืออะไร “อิน” มองว่า มีหลายปัจจัยประกอบกัน YOLK ควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้อย่างดีเยี่ยม พนักงานทุกคนต้องอบขนมเป็น ต้องเรียนจบเบเกอรีไม่ใช่พนักงานขายทั่วไป และจนถึงขณะนี้ “YOLK” น่าจะเป็นแบรนด์เดียวที่อบขนมสดใหม่ทุก 22 นาที
“หลังจากโปรเจกต์คอลแล็บส์จะเป็นเกมเรื่องของฝาก เราพยายามสื่อสารเรื่องมาประเทศไทยให้ซื้อ YOLK กลับไปต่างประเทศได้ด้วย ตอนนี้เวลาไปสนามบินจะเริ่มเจอกล่องส้ม YOLK มีคนหิ้วเราไปต่างจังหวัดเยอะมาก เดินเข้าห้างไม่ว่าห้างนั้นจะมีเราหรือไม่มีต้องเห็นว่า กล่องส้มมาแล้ว เรื่องคอลแล็บส์ปีหน้ายังมีแต่อาจจะฉีกไปทางแฟชั่นมากขึ้น เราต้องคอยสร้าง Wow Factor ตลอดปี”
“อิน” เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการติดสปีด จะได้เห็น “YOLK” ขึ้นไปอยู่บนฟ้า เสิร์ฟกับสายการบิน รวมถึงเข้าไปอยู่ในร้านสะดวกซื้อด้วย ส่วนแผนไปต่างจังหวัดจะเริ่มชิมลางจากการไปออกบูธ Pop-up Store ส่วนเป้าหมายระยะยาวที่เป็นฝันใหญ่ของตัวเอง “อิน” มองว่า ตอนนี้ “YOLK”กลายเป็นของฝากประจำจังหวัดไปแล้ว มองในลักษณะเดียวกับโดนัทคริสปี้ครีม หรือหมี่ไก่ฉีก EMILY’S ไว้เหมือนกัน
แผนใหญ่ของปีหน้าระบุว่า ตั้งเป้าโตเพิ่มอีกสองเท่าเพื่อตามพี่ใหญ่ “Holiday Pastry” ให้ทัน มีวางแผน 5-Year Plan ระยะยาวไว้อยู่แล้ว และที่สำคัญปีหน้าจะได้เห็นแบรนด์ใหม่เข้ามาเติมพอร์ตโฟลิโออีกแน่นอน แง้มว่า เป็นแบรนด์ปั้นใหม่ที่เริ่มเข้าสู่สนามของคาว และจะเป็นร้านอาหาร Dine-in ด้วย ตั้งเป้าเปิดตัวปีละ 1 แบรนด์ โดยไม่ให้ซ้อนทับกับเซกเมนต์เดิม
สำหรับตลาดต่างประเทศ “อิน” บอกว่า เริ่มมีติดต่อเข้ามาบ้าง ส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้อยากสร้างรากฐานของ “YOLK” ให้แข็งแรงก่อน เก็บโลเคชันในกรุงเทพฯ ให้ครบ จากนั้นค่อยไปต่างจังหวัด และค่อยเป็นเรื่องออกนอกประเทศ ทุกพื้นที่ต้องดูเรื่องกำลังซื้อระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ CBD ต้องเก็บให้ครบ พื้นที่ทัวร์ริสต์ต้องไป รวมถึงพื้นที่โลคอลก็ด้วย
“ในฐานะคนไทยอยากดันและซัพพอร์ตธุรกิจไทยทั้ง SMEs หรือไม่ก็ตามให้เติบโตไปข้างหน้าได้ อยากให้คนไทยหันมาให้ความสนใจแบรนด์ไทย เราเป็น SMEs มีเพื่อนที่เป็น SMEs เหมือนกัน มีทั้งคนที่รอดและเติบโตจนเป็นพี่ๆ มีบางคนวิ่งๆ อยู่แล้วล้มหายตายจากไป โดนแบรนด์ต่างชาติมาฟันราคาบ้างอะไรบ้าง เราก็รู้สึกว่า มันไม่ได้ ถ้าไม่มีใครซัพพอร์ตเรา เราก็ต้องซัพพอร์ตกันเอง เป็นหนึ่งในแพชชันด้วย”