เจเนอเรชั่น 2 “ยูโร ครีเอชั่นส์” ต่อยอดธุรกิจให้เป็นมากกว่าเฟอร์นิเจอร์
บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EURO ประกอบธุรกิจการจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจร ครอบคลุมทั้งเฟอร์นิเจอร์ชุดครัว เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์นอกอาคาร ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและแสงสว่าง สินค้าและวัสดุเพื่อการตกแต่ง ของใช้ เครื่องนอน เครื่องออกกำลังกาย และสินค้าหรืออุปกรณ์เทคโนโลยี ภายใต้ชื่อร้าน “Euro Creations” และร้านภายใต้แบรนด์อื่นๆ
ปัจจุบันเข้าสู่รุ่นที่ 2 โดยมี “เควิน กัมบีร์” ทายาทธุรกิจเข้ามาช่วยดูแลกิจการครอบครัว ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หลังจาก “Euro Creations” ก่อตั้งขึ้นโดย “โกมล กัมบีร์” คุณพ่อของ “เควิน กัมบีร์” ซึ่งเป็นผู้ก่อนตั้งรุ่นแรก ตั้งแต่ปี 2539 หรือเมื่อ 29 ปีก่อน เริ่มจากเฟอร์นิเจอร์ระดับ high-end นำเข้าจากยุโรป
ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านั้น “โกมล กัมบีร์” ได้ทำธุรกิจของครอบครัวที่ก่อตั้งมานานกว่า 35-40 ปี ภายใต้บริษัท Crystal Symphony ที่จำหน่ายของตกแต่งบ้านคลาสสิกแบรนด์หรูระดับโลก ก่อนจะแยกมาก่อตั้ง “Euro Creations” ขณะที่ Crystal Symphony มีน้องชายของเขาบริหารอยู่ในปัจจุบัน
จากนั้นประมาณปี 2555-2556 “เควิน กัมบีร์” ได้เข้ามาช่วยกิจการครอบครัว โดยเริ่มต้นจากการสร้างทีมใหม่ๆ และขยายธุรกิจไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ห้องน้ำ และห้องครัว
ก่อนที่จะเข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้าน ในช่วงปี 2554-2555 ได้มีโอกาสไปทำงานที่ดูไบกับบริษัทรับเหมาตกแต่งภายในที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากจบปริญญาตรี ด้านบริหารธุรกิจ วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน
บริษัทดังกล่าวต้องการขยายธุรกิจมายังประเทศไทยและสนใจที่จะร่วมลงทุนกับครอบครัวของเขา “เควิน” จึงใช้เวลา 1 ปี ที่ดูไบเพื่อเรียนรู้ธุรกิจก่อนกลับมาเปิดบริษัทร่วมทุนในไทย แม้บริษัทร่วมทุนจะปิดตัวลงในภายหลัง แต่มีธุรกิจบางส่วนในบริษัทร่วมทุนที่ทำต่อมาบ้างภายใต้บริษัทของเราเอง ประสบการณ์ที่ได้มาจากการทำงานที่ดูไบก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ผลงานที่ภาคภูมิใจในช่วงของรุ่นที่ 2 คือ การผลักดัน “Euro Creations” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 14 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา เป็นการเปลี่ยนจากธุรกิจครอบครัวสู่บริษัทมหาชน
เขาเผยว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Euro Creations ประสบความสำเร็จ คือ
แบรนด์ที่แข็งแกร่ง : Euro Creations ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกแบรนด์ระดับโลก โดยในปัจจุบันมีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอมากกว่า 30 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้าตกแต่งบ้านและไลฟ์สไตล์ เช่น ระบบ Smart Home, Lighting Control, ห้องน้ำ, ห้องครัว, เฟอร์นิเจอร์, พรม, และเครื่องเสียง
โชว์รูมที่น่าประทับใจ : โชว์รูมเปรียบเสมือนสิ่งที่พูดแทนแบรนด์ การสร้างโชว์รูมที่สวยงามจะช่วยสร้างความรู้สึกและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าเห็นภาพว่าบ้านของพวกเขาจะออกมาเป็นอย่างไร
บุคลากรที่มีศักยภาพ : สินค้าไฮเอนด์เหล่านี้ไม่ได้ขายตัวมันเอง แต่ต้องอาศัยคนที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้องแก่ลูกค้า ธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
เขายังแชร์มุมมองในการเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว มีความท้าทาย แต่ก็มีความสนุก ซึ่งความท้าทายที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน คือ เศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ องค์กรต้องเป็น AI-first Organization โดยการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
“เชื่อว่า 3-5 ปี จะมีองค์กรล้มหายไปจำนวนมาก ทั้งที่ปรับตัวไม่ได้ และไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้างทัศนคติให้บุคลากรทุกคนในองค์กรพร้อมที่จะเรียนรู้และยอมรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
สำหรับปี 2568 Euro Creations ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้และกำไรให้เป็นตัวเลขสองหลัก โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท คือ กลุ่มคน 1% ของไทย ที่ถือครอง Wealth 50% ของประเทศ ซึ่งถูกกระทบน้อยจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทั้งนี้ ภาพรวมรายได้จะมาจากลูกค้าทั่วไป (B2C) สัดส่วน 60% และลูกค้าองค์กร (B2B) สัดส่วน 40%
ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตมาจากการลงทุนในการเปิดสาขาใหม่ โดยปัจจุบันมีโชว์รูมกว่า 10 แห่ง หลังจากล่าสุดได้เปิดตัว Molteni &C Bangkok Flagship สาขาใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย พื้นที่กว่า 1,100 ตารางเมตร พร้อมเปิดโชว์รูม Bang & Olufsen ที่ศูนย์การค้า Central Embassy นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดโชว์รูมขนาดใหญ่ที่สุดในย่านทองหล่อ พื้นที่กว่า 4,000-5,000 ตารางเมตร ในปี 2569
รวมไปถึงการเพิ่มแบรนด์ระดับโลกเข้าสู่พอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีมากกว่า 30 แบรนด์ โดยมี 10 แบรนด์หลักที่สร้างยอดขายได้ถึง 70% ของรายได้ทั้งหมด ได้แก่ Gessi, Molteni&C, Cassina, Poltrona Frau, Giorgetti, Natuzzi Italia, Frette, Technogym, Bang & Olufsen และ Haworth
ขณะเดียวกัน ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ภารกิจสำคัญของบริษัท คือ การใช้ประโยชน์จากสาขาและแบรนด์ใหม่ๆ ที่ได้ลงทุนไปให้เกิดผลผลิตสูงสุด เพื่อขับเคลื่อนรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และรักษาความเป็นผู้นำสินค้าตกแต่งบ้านและไลฟ์สไตล์