SOCIETY: แค่ไหนถึงเรียกว่า ‘บูลลี่’? ในยุคที่การกลั่นแกล้งในโรงเรียน เป็นปัญหาใหญ่
คำว่า ‘บูลลี่’ เป็นคำที่สังคมใช้ในบริบทที่คลุมเครือ มาหลายปี บ้างใช้แทนคำว่า ‘ด่าทอ’ หรือ ‘เหยียด’ ซึ่งความหมายที่ชาวไทยใช้ก็ต่างจากชาติตะวันตกที่คำว่าบูลลี่มีความหมายเฉพาะ หมายถึงการกลั่นแกล้งซ้ำๆ ซึ่งแต่เดิมหมายถึงการกลั่นแกล้งทางกายภาพด้วย ไม่ใช่การใช้คำพูดทำให้เกิดความรู้สึกทางลบ
การบูลลี่ พอมาอยู่ในยุคที่คนสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ความหมายมันก็เริ่มเปลี่ยน และเกิดคำอย่าง ‘ไซเบอร์บูลลี่’ ซึ่งหมายถึงการกลั่นแกล้งซ้ำๆ ในโลกออนไลน์ จึงทำให้ความหมายของการบูลลี่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันหมายถึงการใช้คำพูดหรือข้อความเป็นหลัก โดยไม่ต้องมีมิติทางกายภาพ
ในขณะที่ทุกฝ่ายมองว่าการบูลลี่คือปัญหา แต่ในทางปฏิบัติ เส้นแบ่งของการบูลลี่ของแต่ละฝ่ายกลับไม่ตรงกัน และนี่เป็นปัญหาอย่างมากในสถานศึกษาในโลกตะวันตก
ตัวอย่างง่ายๆ งานวิจัยล่าสุดจากนอร์เวย์ชี้ว่า เวลาที่ผู้ปกครองคิดว่าลูกตัวเองโดนบูลลี่นั้น 2 ใน 3 ครั้ง โรงเรียนจะมองว่านี่ไม่ใช่การบูลลี่ และในอีกฝั่งหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ผู้ปกครองของเด็กที่ถูกร้องเรียน ก็ไม่เห็นว่าสิ่งที่ลูกตัวเองทำคือการบูลลี่
แล้วอะไรคือการ ‘บูลลี่’?
จริงๆ แล้วมันมีนิยามระดับสากลที่สถานศึกษาทั่วโลกใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่าการกระทำหนึ่งๆ จะเป็นการบูลลี่หรือไม่ โดยนิยามที่ว่าคือการกระทำนั้นต้อง
1.ทำให้เหยื่อเจ็บปวด
2. เกิดขึ้นซ้ำๆ
3. มีเจตนาร้าย
4. มีฐานว่าผู้กระทำมีอำนาจมากกว่า ทำให้เหยื่อไม่สามาระแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
แน่นอนนิยามที่ชัดเจนในระดับสากลนี้ น่าจะต่างจากสิ่งที่คนไทยใช้เวลาใช้คำว่าบูลลี่แน่ๆ แต่ในทางปฏิบัติ ถึงมีนิยามชัดเจนขนาดนี้ ทางโรงเรียนก็ไม่สามารถบอกว่าพฤติกรรมหนึ่งๆ เป็นการบูลลี่ได้ง่ายๆ
ยกตัวอย่างกรณีคลาสสิกที่หลายคนอาจเคยพบอย่างการ ‘ไม่คบเพื่อน’ สมมติว่ามีนักเรียนคนหนึ่งที่โดนเพื่อนรุมแกล้ง แบบมีแรงกดทันทางสังคมไม่ให้ใครเล่นด้วย กินข้าวด้วย หรือกระทั่งรวมกลุ่มทำกินกรรมด้วย แม้ว่าเราจะไม่เห็นการกระทำที่ชัดเจน แต่การไม่กระทำหรือการไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วยนั่นแหละคือการบูลลี่แบบเข้านิยามเป๊ะ และถ้าโรงเรียนไม่สังเกต ก็อาจจะไม่เห็น เพราะเด็กนักเรียนที่โดนก็จะไม่ได้รับความบาดเจ็บทางกายภาพใดๆ แต่อาจส่งผลทางจิตใจร้ายแรง
เจตนาร้ายก็เป็นอีกสิ่งที่พิสูจน์ยาก เพราะแม้ว่าการบูลลี่จะมีนิยามชัดว่าต้องเกิดซ้ำๆ แต่ในความเป็นจริง ครูอาจไม่เห็นตอนมันเกิดซ้ำๆ และตอนเกิด ผู้กระทำก็อาจอ้างว่า ‘ล้อเล่น’ ก็ได้ ครูก็ต้องปล่อยผ่านไปจนกว่าจะจับได้คาหนังคาเขาว่ามีความจงใจแกล้งเพื่อนซ้ำๆ
สุดท้าย นิยามปราบเซียนของการบูลลี่ คือมิติว่าคนกระทำต้องมีอำนาจมากกว่า มิตินี้จำเป็น เพราะสมมติมีอำนาจเท่ากัน มันไม่ใช่การบูลลี่ เช่นเด็กผู้ชายท้าต่อยกันแบบนั้นไม่ใช่การบูลลี่ แต่นั่นคือคนละเรื่องกับการที่เด็กตัวใหญ่ 3-4 คนรวมหัวกันแกล้งเด็กตัวเล็กกว่าซ้ำๆ
ความวุ่นของสมัยนี้คือ ‘อำนาจ’ มันไม่ต้องอยู่ที่มิติทางกายภาพก็ได้ บางทีเด็กตัวเล็กๆ ที่เป็นที่นิยมในหมู่เพื่อนๆ และครู ก็อาจจะไปกล่าวหาเด็กคนอื่นว่าชอบมาบูลลี่ตัวเอง และบางทีครูก็จะเชื่อด้วยเพราะมองว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีแม้ว่าเขาอาจอาศัยความเป็นที่นิยมของตัวเองในการใส่ร้ายคนอื่นก็ได้
ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ใช่พล็อตการ์ตูนวัยรุ่น แต่เป็นปัญหาที่โรงเรียนสมัยนี้ต้องเจอจริงๆ และถึงเรามีนิยามการบูลลี่ที่ชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติ ที่ยากจริงๆ คือการพิสูจน์ว่ามีการบูลลี่หรือไม่ เพราะเด็กสมัยนี้ก็ร้ายกาจพอที่จะซ่อนการบูลลี่ไม่ให้ครูหรือกระทั่งผู้ปกครองเห็น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์
และเมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นภาพทั้งหมดนี้ มันก็ยิ่งยากที่จะบอกว่าเด็กโดนบูลลี่ หรือไม่
ถามว่าแล้วจะแก้ยังไง? นี่คือปัญหาแบบปราบเซียน ที่ปัจจุบันแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังปวดหัว แต่การบรรเทาปัญหาเบื้องต้นเขาบอกไว้ว่าพ่อแม่ต้องช่างสังเกตมากๆ ว่าลูกต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เพราะมีแนวโน้มสูงมากที่ลูกจะไม่เล่าการถูกบูลลี่ให้พ่อแม่ฟัง โดยเฉพาะเมื่อเข้าช่วงวัยรุ่น