เศรษฐกิจจีนครึ่งหลังของปี 2025 จะไปทางไหน? (ตอน 2)
ตอนที่แล้ว ผมนำเสนอสภาพเศรษฐกิจจีน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ในส่วนของ “กำลังภายใน” และสรุปว่า “อุปทานที่แข็งแกร่ง อุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ” จึงเกิดคำถามว่า ท่านกลางสงครามการค้า 2.0 ที่ถาโถมเข้ามาทุกขณะ เศรษฐกิจจีนจะสามารถรักษา “ความยืดหยุ่น” ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และอนาคตไว้ได้หรือไม่ อย่างไร …
เมื่อเจาะลึกตัวเลขภาคการค้าระหว่างประเทศลงไปก็พบข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ ประเด็นแรก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จีนเกินดุลการค้าถึง 4.2 ล้านล้านหยวน คิดเป็นราว 590,000 เหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การส่งออกได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นจีดีพีของจีนในเวลาดังกล่าว และยังอาจสะท้อนว่ารัฐบาลจีนสามารถบริหารจัดการการนำเข้า-ส่งออกได้เป็นอย่างดี และสินค้าจีนมีขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศในระดับที่สูง
ประเด็นถัดมา จีนค้าขายกับประเทศพันธมิตรตามแนว “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” เพิ่มขึ้นถึง 4.7% มากกว่าค่าเฉลี่ยของการค้าโดยรวมของจีน สะท้อนว่าจีนมีแนวโน้มค้าขายกับประเทศตามแนว “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (BRI) มากกว่าการค้านอกกลุ่ม
ประเด็นสำคัญ ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้า 2.0 การส่งออกของจีนไปยังตลาดสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนหลัง แต่โดยที่การส่งออกโดยรวมของจีนในช่วงครึ่งปีแรกยังคงขยายตัวในอัตรา 7.2% ก็เท่ากับว่า จีนได้ขยายการส่งออกและกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นในอัตราที่สูงกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเซียนและสหภาพยุโรป
ประการสุดท้าย ภายหลังการประชุมหารือเพื่อหาทางออก “สงครามการค้า 2.0” ระหว่างคณะผู้แทนการค้าของจีนและสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ลอนดอน สถานการณ์การกีดกันทางเศรษฐกิจระกว่างกันก็ดูจะคลี่คลายไปได้มาก เราเห็นการอนุมัติการส่งออกแร่หายากของจีนอีกครั้ง และการผ่อนคลายการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เซมิคอนดักเตอร์เอไอ และวีซ่านักเรียนของรัฐบาลสหรัฐฯ ตามมา แต่ก็ยังมีหลายเปลาะที่ทั้งสองฝ่ายต้องหาข้อสรุป
การประชุมของคณะผู้แทนรอบล่าสุดที่สวีเดนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ก็ไม่เป็นข่าวคึกโครมนัก ซึ่งอาจเพราะผู้แทนการค้าทั้งสองฝ่ายไม่อาจบรรลุความตกลงที่มีนัยสำคัญกันได้ หรือ “เตรียมชง” ความตกลงในหลายเรื่องที่คั่งค้างอยู่ต่อผู้นำทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้
แต่โดยที่หากไม่มีการประกาศเลื่อนการบังคับใช้ การเรียกเก็บอากรนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อสินค้าจีนในอัตราอย่างน้อย 30% ก็จะเริ่มต้นในวันที่ 12 สิงหาคม ศกนี้แล้ว คณะผู้แทนของสองประเทศจึงมี “เผือกร้อน” เต็มมือ ผมประเมินว่า เราอาจได้เห็นประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเลื่อนระยะเวลาการบังคับใช้ดังกล่าวออกไป
หรือมิฉะนั้นแล้ว สหรัฐฯ ก็อาจต้องเผชิญสถานการณ์ “เงินเฟ้อสูง” ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนับแต่ต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งหากขยายวงก็อาจทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี “ติดลบ” และส่งผลกระทบต่อไปยังการเลือกตั้ง “กลางเทอม” ในปลายปี 2026
ขณะที่จีนก็พยายามต่อสู้กับแรงกดดันจาก “ภาวะเงินฝืด” และ “การขาดความเชื่อมั่น” ที่ผู้คนไม่กล้าออกมาจับจ่ายใช้สอยดั่งเคยจนต้องดำเนินนโยบาย “วีซ่าฟรี” และ “ทรานซิตวีซ่า” เพื่อหวังดึงเอา “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” มาเป็นอีกเครื่องยนต์เศรษฐกิจหนึ่งดังที่ได้เห็นในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ จีนยังเดินหน้าจัดระเบียบและหวังใช้ “ตลาดหุ้น” มาเพิ่มเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ ในงานดินเนอร์ทอล์กของหลักสูตร China Wealth รุ่นที่ 2 เมื่อค่ำวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ สโมสรกองทัพบก ดร. สมภพ มานะรังสรรค์กล่าวว่า “คนจีนจำนวนมากกำลังเริ่มขายทองที่สะสมไว้ และนำไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์”
หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายตัว จีนก็อาจหนีไม่พ้นการประกาศปรับนโยบายมหภาคอีกระลอกของรัฐบาลจีนเพื่อเตรียมรับมือกับ “แรงกระแทก” จากสงครามการค้า 2.0 “แบบเต็มตัว” ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าจะเป็นประเด็นสำคัญของการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้
เราอาจได้เห็นการประกาศสิทธิประโยชน์และการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน การอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านการลดสำรองเงินสดธนาคารพาณิชย์และการลดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 11 ปีต่อไปอีก เพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนและเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการ
ขณะเดียวกัน เพื่อการผ่อนคลายและกระตุ้นสภาวะการลงทุนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดูเหมือนจะยกระดับจากสภาวะ “อึมครึม” เป็น “ซึมลึก” โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาบ้านใหม่และน้านมือสองรายเดือนที่กลับมาลดลงอีกครั้งในรอบหลายเดือนหลัง ก็ทำให้เราอาจได้เห็นโมเดลใหม่ในการแก้ไขปัญหา “อุปทานส่วนเกิน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใน “บัญชีขาว” (White List) และ “ใกล้เสร็จ”
นักวิเคราะห์บางส่วนยังเปรยว่า รัฐบาลจีนกำลังพิจารณาแนวทางในการออกมาตรการ “อุดหนุน” การจัดซื้อสต็อกที่อยู่อาศัยส่วนเกินและนำกลับไปมาเป็นที่อยู่อาศัยแก่คนหนุ่มสาว หลังจากที่เริ่มทำโครงการคล้ายคลึงกันกับกลุ่มพนักงานของรัฐ
รวมไปถึงการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในเมืองรองและพื้นที่ชนบทเพื่อผันเป็น “โฮมสเตย์” และ “โรงแรมบูธีค” เพื่อไปสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศและการดึงดูดคนหนุ่มสาวลงสู่เมืองรองและพื้นที่ชนบทในระยะยาว
ประการสำคัญ เราต้องติดตามความเป็นไปได้ในการพบปะและหารือกันระหว่างผู้นำจีน สหรัฐฯ และรัสเซีย ณ กรุงปักกิ่ง ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งหากเกิดขึ้นและมีผลการประชุมที่เป็นบวก ก็อาจ “พลิกเกมส์” สงครามการค้า 2.0 และสงครามทางกายภาพในจุดสำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ตะวันออกกลาง
ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ยังตั้งคำถามที่น่าสนใจยิ่งว่า ทำไมประธานาธิบดีทรัมป์จึง “ย่ามใจ” กล้าตั้งเงื่อนไขใหม่ในสงครามการค้า 2.0 ได้ โดยท่านเห็นว่า การที่สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานของภาคบริการ (Service-Based Economy) และภาคการเงิน (Finance-Based Economy) ที่แข็งแกร่ง ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากจากการเดินเกมส์ป่วนโลกที่ผ่านมา
กำลังสนุกเลย คราวหน้าผมจะหยิบเอาประเด็นที่น่าสนใจที่ ดร. สมภพฯ กล่าวในงานดินเนอร์ทอล์กของ China Wealth รุ่นที่ 2 มาคุยกันต่อครับ …
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- วิเคราะห์สงครามชิปปะทุ ทรัมป์งัด “พลัง 4 ประสาน” ดึงโรงงานชิปมาสหรัฐฯ
- "ฟิลิปปินส์" โต้เดือด ภาษีนำเข้าไม่ใช่ศูนย์ สวน "ทรัมป์" คิดไปเองยกเลิกภาษี
- เร่งถกเคาะใช้งบปั๊ม"เศรษฐกิจ" 4 หมื่นล.
- "ทรัมป์" มีเลขภาษีในใจ ไทยเจรจาแค่ไหนก็ไม่ต่ำ "เวียดนาม-อินโดนีเซีย" ?
- วิเคราะห์ "อินโดนีเซีย" เอาอะไรไปแลก เพื่อตกลง "ภาษีทรัมป์" จาก 32% เหลือ 19%