'รถอเมริกัน' จะแข่ง 'รถไฟฟ้าจีน' ฟอร์ดผลิต EV ราคาถูกเริ่ม 1 ล้านบาท
บริษัท "ฟอร์ด มอเตอร์" (Ford Motor) เตรียมลงทุนครั้งใหญ่ 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเปลี่ยนโฉมวิธีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งบริษัทระบุว่าจะทำให้สามารถผลิตรถยนต์อีวีรุ่นต่างๆ ได้ในราคาเริ่มต้นเพียง 30,000 ดอลลาร์ (ราว 1 ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมาก
ฟอร์ดซึ่งเป็น 1 ใน 3 ค่ายรถอเมริกัน "บิ๊กทรี" แถลงว่าจะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อปรับปรุงโรงงานประกอบรถยนต์ในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี ให้ทันสมัย และอีก 3 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งใหม่ในรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามผลักดันการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า "ในราคาที่เข้าถึงได้" มากขึ้น
บริษัทได้เปิดตัว“แพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าแบบสากล” (universal EV platform) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยจิม ฟาร์ลีย์ ซีอีโอของฟอร์ดเรียกแพลตฟอร์มใหม่นี้ว่าเป็น"การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในด้านการออกแบบและวิธีการผลิตรถยนต์ของฟอร์ด นับตั้งแต่รถยนต์รุ่น Model T" เป็นต้นมา ซึ่งฟอร์ดเปิดตัวเมื่อปี 1908
ตามข้อมูลของฟอร์ด สายการผลิตใหม่นี้จะมีโครงสร้างบรรจบรวมกันใน assembly tree โดยมีสายการผลิตย่อย 3 สายที่ไหลมาบรรจบกัน แทนที่จะใช้สายพานการผลิตเพียงเส้นเดียว ซึ่งการออกแบบดังกล่าวจะช่วยให้กระบวนการประกอบเร็วขึ้น ราบรื่นขึ้น และช่วยปรับสภาพการทำงานของพนักงานให้ดีขึ้น
แพทริก แอนเดอร์สัน ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาแอนเดอร์สัน อีโคโนมิก กรุ๊ป เปิดเผยกับ CBS ว่า "การประกาศของฟอร์ดถือว่าทะเยอทะยานมาก เพราะรวมทั้งกระบวนการผลิตแบบใหม่และรถยนต์รุ่นใหม่ หากพวกเขาสามารถสร้างสายการผลิตที่มีจำนวนสถานีงานน้อยลง 40% และจำนวนชิ้นส่วนน้อยลง 20% ได้จริง ก็สมควรแก่การอ้างว่าเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์เทียบเท่า Model T”
จากการประเมินของ Kelley Blue Book พบว่า กระบวนการผลิตแบบใหม่นี้จะช่วยให้ฟอร์ดสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงได้ โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 30,000 ดอลลาร์ (ราว 1 ล้านบาท) จากราคาเฉลี่ยรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในเดือนก.ค. ที่ 56,000 ดอลลาร์ (ราว 1.8 ล้านบาท)
ก่อนหน้านี้ ลิซ่า เดรก รองประธานฝ่ายโปรแกรมแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและระบบ EV ของฟอร์ด เคยกล่าวว่า ฟอร์ดวางแผนที่จะใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างต้นทุนของ "ผู้ผลิตรถยนต์จีน" โดยหวังว่าจะสามารถแข่งขันกับรถยนต์ที่มีราคาคุ้มค่าได้ โดยแพลตฟอร์มนี้จะเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกของฟอร์ดอย่างน้อยในทศวรรษหน้า และจะสามารถรองรับรูปแบบตัวถังได้หลากหลาย รวมถึงรถยนต์สามแถว