ภูมิธรรมขู่ตั้งกก.สอบอธิบดีที่ดินหากแจงปมเขากระโดงไม่เคลียร์
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มอันดามันเข้ายื่นหนังสือต่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองและศาลฎีกา กรณีข้อพิพาทเรื่องสิทธิครอบครองที่ดินบริเวณ “เขากระโดง” จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
นายภูมิธรรมเปิดเผยภายหลังรับหนังสือว่า ได้มีคำสั่งให้นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ชี้แจงเหตุผลภายใน 7 วันว่าทำไมจึงมีการดำเนินการที่ขัดต่อคำพิพากษาของศาลทั้งสอง หากคำชี้แจงไม่เพียงพอหรือไม่สามารถอธิบายตามหลักกฎหมายได้ ก็จะลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทันที โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้พิจารณาโครงสร้างคณะกรรมการชุดดังกล่าว
"เรื่องนี้มีประชาชนให้ความสนใจและคลางแคลงใจอย่างมาก เมื่อมีคำพิพากษาออกมาแล้ว หน่วยงานรัฐต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หากมีเหตุผลที่สมเหตุสมผล ก็ถือว่าทำตามหน้าที่ แต่หากไม่มี ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ" นายภูมิธรรมกล่าว
สำหรับคำถามว่า กระทรวงมหาดไทยสามารถยกเลิกเอกสารสิทธิที่ดินทั้ง 99 แปลงตามคำสั่งศาลได้หรือไม่ นายภูมิธรรมระบุว่า ต้องให้ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้พิจารณา แต่จากที่ตนรับฟัง คำพิพากษาศาลได้วางกรอบไว้ชัดเจนแล้ว หากมีการฟ้องร้องเพิ่มเติมก็ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ เช่น รฟท.
นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งออกมาระบุว่าการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องว่า "ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ผม ถ้าทำถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่น่ากังวล แต่ที่ผมดำเนินการเพราะต้องการให้เกิดความชัดเจนต่อสังคม"
นอกจากนี้ นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงกรณีที่ดินอัลไพน์ ซึ่งเคยเป็นประเด็นอื้อฉาวในอดีตว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ และจะไม่มีการยกเว้นให้กับคดีใดทั้งสิ้น ยืนยันว่า “ทุกคดีที่สังคมสงสัย จะดำเนินการตรวจสอบอย่างรอบด้านและโปร่งใส ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็นใคร”
ส่วนข้อสงสัยว่า หากผลการชี้แจงของอธิบดีกรมที่ดินไม่เป็นที่น่าพอใจ จะส่งผลกระทบต่อการดำรงตำแหน่งหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า “หากปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่หากเอื้อประโยชน์หรือนอกกรอบกฎหมาย ก็ต้องมีผลกระทบตามมาแน่นอน”