เมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ได้เรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทวี สุรฤทธิกุล
วิชาที่เรียนสนุกที่สุดในชีวิตผู้เขียนก็คือ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” เพราะได้มองเห็นความเป็นไปของโลกทั้งใบ ประเทศทุกประเทศ และมนุษยชาตินับพัน ๆ ล้านคน
วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นวิชาบังคับในการศึกษาระดับปริญญาตรี ของนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสมัยที่ผู้เขียนเรียนวิชานี้สอนโดยท่านอาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร ท่านสอนเก่งและมีบรรยากาศที่สนุกสนาน อาจจะเป็นด้วยท่านเป็นนักเขียนด้วยอีกอาชีพหนึ่ง มีความเชี่ยวชาญในการเขียนนวนิยายแนวโรแมนติก โดยใช้ฉากต่าง ๆ ของต่างประเทศ การบรรยายของท่านจึงออกรสชาติ มองเห็นภาพ และได้อารมณ์ร่วมไปด้วย เหมือนว่า “ได้ไปเที่ยว” ยังประเทศที่เรียนเหล่านั้นเลยทีเดียว ทำให้ผู้เรียนถูก “ปลูกฝัง” ความรู้ความเข้าใจในวิชาที่เรียนเป็นอย่างดีโดยไม่รู้ตัว
ตอนขึ้นปี 2 จะต้องเลือกแขนงวิชาที่จะเรียนต่อ ผู้เขียนต้องเลือกเรียนในแขนงรัฐประศาสนศาสตร์ ไม่ได้เลือกแขนงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะแขนงนี้ต้องเลือกวิชาเอกเป็นภาษาต่างประเทศด้วย ซึ่งผู้เขียนไม่มีชำนาญเพียงพอ แต่พอเรียนปริญญาโทที่ผู้เขียนสอบเข้าได้ในภาควิชาการปกครอง ก็ได้ลงวิชาโทเป็นด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะตอนนี้ได้พัฒนาภาษาอังกฤษดีขึ้นบ้าง และตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสอาจจะได้ไปทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ แต่กลับได้ทำงานที่สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติแทน ซึ่งก็ได้บรรจุในงานด้านการข่าวกรองต่างประเทศ ทำให้ได้ใช้วิชาที่เรียนมาได้มากพอสมควร (ก่อนที่จะสอบโอนย้ายมาเป็นอาจารย์ในสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชในอีก 2 ปีต่อมา)
วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นวิชาที่ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรที่ “เยอะ ๆ” เพราะไม่ได้เยอะแค่เรื่องราวของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเกือบ 200 ประเทศ แต่ยังเยอะไปด้วยทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตั้งแต่การตั้งถิ่นฐาน พัฒนาการของอารยธรรมต่าง ๆ ความขัดแย้งและความร่วมมือ สงครามต่าง ๆ ฯลฯ ที่จะต้องศึกษาครอบคลุมไปทุกมิติ ที่เป็นหลัก ๆ ก็คือ “การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม” และในสมัยใหม่ก็คือ “เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม”
มีเรื่อง “นินทา” ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ตอนที่จะ “ถูกดัน” ให้เข้าไปเรียนในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “คนเป็นพ่อ” อยากให้ลูกสาวได้เรียนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่พอรู้ว่าต้องมีคะแนนในการสอบเข้าที่สูงกว่าแขนงอื่น ๆ จึงเลือกแขนงที่คะแนนไม่สูงนัก คือแขนงสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา กระนั้นก็ต้อง “ปิดห้อง” นั่งอ่านเฉลยในห้องของรัฐมนตรีทบวงฯอยู่ถึง 2 รอบ ก่อนที่จะไปสอบ ที่ “ว่ากันว่า” ต้องมีการ “อัป” คะแนนกันสุดตัวเลยทีเดียว
ความจริงนางสาวแพทองธารก็เป็นที่มีอะไรต่ออะไร “เยอะ” ทีเดียว น่าจะเป็นคนที่ชอบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งถึงแม้ว่าสติปัญญาจะไม่เพียงพอที่จะศึกษาต่อในแขนงวิชานี้ แต่เธอก็ได้ไปเรียนยังต่างประเทศ รวมถึงคงได้ไปท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ มามากพอสมควร ตามประสามหาเศรษฐี และก็มีภาษาอังกฤษพอใช้ได้ (ตามประสาคนที่พูดภาษาอังกฤษกับพวกเพื่อน ๆลูกมหาเศรษฐีด้วยกันเมื่ออยู่ในต่างประเทศทุก ๆ วันนั้น) ที่น่าสนใจก็คือรสนิยมการใช้สินค้าต่างประเทศของเธอ ที่สามารถ “แมชชิ่ง” ได้อย่าง “พิลึก” เป็นที่ฮือฮาในทุกครั้ง รวมถึงภาพอัน “ติดตา” เมื่อเดินทางไปพบปะผู้นำของประเทศต่าง ๆ (เพราะต้องมองซ้ำ ๆ ว่าใช่ผู้นำไทยไหมนั่นที่ได้ทำอะไรเปิ่น ๆ แทบทุกครั้ง)
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของนางสาวแพทองธารที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ การที่ “เผลอ” ไปคุยทางโทรศัพท์กับฮุนเซน แล้วถูกตาเฒ่าอัปรีย์บันทึกเสียงนำมาเผยแพร่ในวันต่อมา เป็นการแสดงถึง “ความอ่อนหัด” ของนายกรัฐมนตรี “ฝึกหัด” คนนี้เป็นที่สุด ซึ่งคนที่น่าตำหนิและต้องถูกด่าในเรื่องนี้ก็คือพวกฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศที่รายล้อมนายกรัฐมนตรีคนนี้นั่นเอง เพราะเรื่อง “การใช้โทรศัพท์” เป็นความรู้เบสิกมาก ๆ ของคนที่ทำงานด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ผู้เขียนจำได้ว่าบนโต๊ะทำงานทุกห้องของสำนักข่าวกรองที่ผู้เขียนทำงานอยู่ใน พ.ศ. 2529 - 2531 จะมีข้อความเขียนตั้งไว้ข้างโทรศัพท์ว่า “ให้ระวังการใช้โทรศัพท์และความลับของทางราชการ”) หรือถ้าตามที่มีข่าวว่าเรื่องนี้มี “คนที่เป็นพ่อ” รู้เห็นเป็นใจกำกับการพูดคุยอยู่ด้วย ก็ยิ่งจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ทำไมพ่อมันไม่สั่งสอน?”
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เล่าถึงสมัยที่ท่านไปเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ว่า การไปเปิดสัมพันธไมตรีที่ประสบความสำเร็จด้วยดีในครั้งนั้นก็เป็นด้วย “การทูตแบบไทย ๆ” ที่ท่านเคยได้รู้มา
ความรู้ทางการทูตของท่านเป็นการศึกษาด้วยตนเอง ส่วนหนึ่งคือท่านชอบฟัง “เรื่องเก่า ๆ” ของผู้คนในสมัยก่อน โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการบ้านเมืองมาตั้งแต่ที่ท่านยังเป็นเด็ก ๆ และได้ติดตามท่านพ่อไปเห็นการทำงานรวมถึงเรื่องที่ “ผู้ใหญ่” เขาคุยกัน แล้วท่านก็จดจำมาหรือ “ซึมซาบ” เข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งผู้ใหญ่เหล่านั้นสอนว่า ตั้งแต่สมัยไหน ๆ คนไทยเป็นคนที่นอบน้อมถ่อมตน แต่ไม่เคย “อ่อนแอ” ให้ใครดูหมิ่นเหยียดหยาม เช่นเดียวกันแม้กระทั่งพระมหากษัตริย์ของไทย ท่านก็ทรงช่วยส่งเสริมเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศ ด้วยพระบุคลิกภาพและพระจริยวัตรอันสง่างาม จนได้รับการยอมรับนับถือจากทุกประเทศที่พระองค์ท่านได้เสด็จไป
การไปจับมือกับเหมาเจ๋อตุง เมื่อ พ.ศ. 2518 ท่านจึงใช้ความนอบน้อม ด้วยการวางตัวเป็นลูกเป็นหลาน ทำให้เหมาเจ๋อตุง “รัก” และได้ใช้วาทศิลป์ที่รักษา “น้ำมิตร” กล่าวชื่นชมและขอบคุณในคุณูปการที่มีต่อคนไทยและชนชาติไทยมาแต่โบราณกาล ถึงขั้นที่เหมาเจ๋อตุงยอมรับเงื่อนไขที่จะช่วยเหลือไทยไปตลอดกาล และยังแนะนำการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศไทยโดยที่เราไม่ต้องร้องขอ จนสุดท้ายเมื่อคุยกันไปเกือบ 1 ชั่วโมง ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ยังใช้ธรรมเนียมแบบไทย ๆ ที่จะหาของฝากมาเยี่ยมเยียน “ปะป๋า” คือท่านประธานเหมา ให้สุขสบายและแข็งแรง มีอายุยืนนานต่อไป
นางสาวแพทองธารได้ถูกพักงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะมีผู้ร้องเรียนเรื่องการไปพูดคุยแบบ “ขายชาติ”กับฮุนเซนนั้นแล้ว ซึ่งก็กำลังจะมีการตัดสินภายในเดือนสิงหาคมนี้ ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดก็คงจะได้รับโทษทัณฑ์รุนแรงพอสมควร เพราะอาจจะนำไปสู่การฟ้องร้องที่ถึงขั้นเป็น “กบฏ” หรือการทรยศหักหลังประเทศชาติ ที่มีโทษถึงประหารชีวิต
เวรกรรมของหญิงสาวคนนี้ก็คือเกิดมาโดยที่ “พ่อแม่ไม่สั่งสอน” ซ้ำร้ายเธอเองก็ไม่คิดที่จะ “เรียนรู้” และ “ไม่รับรู้” อะไรทั้งสิ้น
แต่ที่น่าเวทนากว่าก็คือ “คนไทยและประเทศไทย” ที่ต้องมา “เสียหายวายวอด” ด้วยคนตระกูลนี้ !