เจาะเกมครึ่งปีหลัง ‘กลุ่มกัลฟ์’ เดือด! GULF-ADVANC แกร่ง THCOM-KBANK เจอโจทย์หิน
จบไปแล้วกับการประกาศงบไตรมาส 2/2568 ของหุ้น "กลุ่มกัลฟ์" ภายใต้ร่มเงา "สารัชถ์ รัตนาวะดี" ที่นับวันยิ่งแผ่กิ่งก้านร่มไม้อย่างยิ่งใหญ่ ดูได้จากเงินปันผลที่คำนวณคร่าวๆต่อปีเสี่ยกลางเงินล้นมือหลายพันล้านบาทต่อปี ซึ่งยังไม่นับรวมมูลค่าหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (2 มกราคม ถึง 13 สิงหาคม 2568) จากข้อมูล SETSMART พบว่า
- "บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC" ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.88%
- "บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM" ลดลง -21.65%
- "ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK" เพิ่มขึ้น 8.68%
- "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF" ระบบไม่สามารถคำนวณการเปลี่ยนแปลงราคาได้เนื่องจากการควบรวมกิจการกับ INTUCH
ตลอดระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ 15 สิงหาคม 2565 ถึง 13 สิงหาคม 2568 พบว่า ADVANC ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 50.88%, THCOM เพิ่มขึ้น 1.02% และ KBANK เพิ่มขึ้น 13.42%
สิ่งที่น่าตามต่อคือ ในช่วงที่เหลือของปี 2568 กลุ่มธุรกิจกัลฟ์จะเติบโตมากน้อยแค่ไหน ?
GULF กำไร Q3/68 วูบจากปันผลรับลดลง
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส คงน้ำหนักการลงทุน Outperform หุ้น "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF" ให้ราคาเป้าหมาย 68.25 บาท โดยรวมแล้วกำไรปกติงวดครึ่งแรกปี2568 อยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 52% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2568 เดิมที่ฝ่ายวิจัยได้ประเมินไว้
ปรับปรุงประมาณการสะท้อนประมาณการใหม่ของ ADVANC และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยได้ปรับปรุงปรมาณการกำไรปกติปี 2568 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อน
- การปรับเพิ่มประมาณการของ ADVANC ในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้คาด GULF จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ในปี 2568 เพิ่มขึ้น 18.1% จากเดิม มาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท และปี 2569 เพิ่มขึ้น 14.3% จากเดิมมาอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท
- การปรับเพิ่มต้นทุนทางการเงินขึ้น 11.5% และ 13.3% จากเดิมมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท และ 1.4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ตามการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมของทางบริษัทฯ
ส่งผลให้ภายใต้ประมาณการใหม่ กำไรปกติปี 2568–2569 เพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย 2.6% และ 1.3% มาอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท และ 3 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
โดยกำไรปกติปี 2568 เติบโต 45.5%yoy หนุนหลักจากการรับรู้โครงการใหม่ๆที่ COD ในปี 2567 ราว 1.9 พัน MWe ได้เต็มที่ทั้งปี และคาดจะมีโครงการใหม่ที่ทยอย COD ในปี 2568 ได้ตามแผนอีกกว่า 1 พันMWe พร้อมทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ที่เพิ่มขึ้น YoY
ช่วงสั้นงวดไตรมาส 3/68 คาดกำไรปกติจะลดลงตากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) กดดันจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP และกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จะมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงานมากขึ้นส่งผลให้ปริมาณขายไฟฟ้าโดยรวมมีแนวโน้มลดลง QoQ รวมถึงจะมีค่าใช้จ่ายในการหยุดซ่อมบำรุงที่เพิ่มขึ้น
ประกอบกับคาดจะไม่มีการบันทึกปันผลรับจาก KBANK ดังที่เคยเกิดขึ้นในงวดไตรมาส 2/68 ถึงแม้คาดว่ายังมีแรงหนุนบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ที่คาดยังเติบโต QoQ ตามรายได้ค่าบริการที่คาดเพิ่มขึ้น และต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง ประกอบกับโรงไฟฟ้า Jackson (588 MWe) คาดมีผลประกอบการดีขึ้นตามการเข้าสู่ฤดูร้อนในสหรัฐฯและค่าไฟที่ปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม
ADVANC กำไร Q3/68 ดีต่อเนื่อง
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า "บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC" กำไรในงวดไตรมาส 3/68 น่าจะดีขึ้นได้ทั้ง QoQ และ YoY เพราะ 1) คาดรายได้ค่าบริการได้รับผลบวกจากยอดนักท่องเที่ยวที่คาดจะฟื้นขึ้นจากช่วง low seasonในไตรมาสก่อน
2) คาดยอดขายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือจะได้อานิสงค์จากไอโฟน17ที่คาดจะเปิดตัวช่วงปลายไตรมาส 3/68 และ 3) ARPU ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ต่อทั้งในธุรกิจมือถือและธุรกิจบรอดแบนด์
บริษัทปรับเป้าหมายปี 2568 ขึ้น สะท้อนการดำเนินงานครึ่งแรกปี68ที่ออกมาดี แม้บริษัทยังมุมมองที่ระมัดระวังต่อการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี68จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน แต่กำไรปกติโดยรวมในงวดครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 2.15 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 27% YoY จากแรงผลักดันทั้งรายได้ค่าบริการหลัก (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย) และ EBITDA ที่เติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายของปี68 ที่บริษัทเคยตั้งไว้
โดยปรับเพิ่มเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2568 ดังนี้
- รายได้ค่าบริการหลัก (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่ายและค่าโรมมิ่งกับ NT) เพิ่มขึ้น 4-6% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน (YoY)
- EBITDA เพิ่มขึ้น 4-6% YoY
- CAPEX (ไม่รวมค่าคลื่นความถี่) 2.6 หมื่นล้านบาท-2.7 หมื่นล้านบาท
จากกำไรสุทธิงวดครึ่งแรกปี68 ที่ออกมามีสัดส่วน 56% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี 68 ทำให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับประมาณการกำไรปี 68-69 ของ ADVANC ขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 12%
โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับปรุงสมมติฐานหลักสำหรับปี 68-69 สอดคล้องกับผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี68และเป้าหมายของบริษัท คือ 1)ปรับเพิ่มสมมติฐาน ARPU เพิ่มขึ้น 2)ปรับลดค่าใช้จ่ายขายและบริหาร และ 3)ปรับเพิ่มการใช้งบลงทุน(CAPEX)ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี68 ปรับขึ้นเป็น 4.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน และปีหน้า 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน
ภายใต้ประมาณการใหม่ ราคาเป้าหมายปรับขึ้นจาก 316 บาท เป็น 343 บาท (DCF, WACC 6.5%) โดยฝ่ายวิจัยคงแนะนำ Outperform สำหรับ ADVANC เพราะระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไรไตรมาส 2/68 ที่ออกมาดีและระยะถัดไปยังมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องในไตรมาส 3/68 บวกกับยังมีปันผลในอัตราที่จูงใจสำหรับครึ่งแรกปี68 คิดเป็น yield ราว 2.3%
THCOM หวังฟื้นชัดเจน Q4/68
"บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM" รายงานขาดทุนสุทธิในงวดไตรมาส 2/68 ที่ 207 ล้านบาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายพิเศษราว 210 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 209 ล้านบาท ถือว่าแย่กว่าทั้งงวดไตรมาส 1/68 ที่มีกำไรสุทธิ 119 ล้านบาท และ ไตรมาส 2/67 ที่มีกำไรสุทธิ 63 ล้านบาท
หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติอยู่ที่ 3 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนที่ขาดทุนปกติ 91 ล้านบาท เพราะรายได้ค่าบริการสูงขึ้น ตามอัตราการใช้งานดาวเทียมแบบทั่วไปที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเอง (ไทยคม 7 และ ไทยคม 8) สูงขึ้นจาก 56.8% ในไตรมาสก่อน เป็น 60% และรายได้จากบริการควบคุมดาวเทียม (ไทยคม 4 และ ไทยคม 6) ให้แก่ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ซึ่งเริ่มรับรู้ในงวดนี้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายขายและบริหารลดลง
อย่างไรก็ตามกำไรปกติลดลงถึง 94% YoY ตามรายได้ค่าบริการที่ต่ำลง 16% YoY หลังโครงการเน็ตชายขอบ เฟส 2 สิ้นสุดในงวดนี้ ดังนั้นแม้ค่าใช้จ่ายขายและบริหารลดลง แต่ไม่เพียงพอจะช่วยผลักดันกำไรได้
กำไรในไตรมาส 3/68 คาดบริษัทจะมีกำไรปกติที่ใกล้กับไตรมาส 2/68 เพราะคาดรายได้ยังค่อนข้างทรงตัว QoQ แต่น่าจะเห็นการโต YoY ได้จากการใช้บริการดาวเทียมที่สูงขึ้น และรายได้จากธุรกิจ Space Tech ที่ทยอยเข้ามาเพิ่มตั้งแต่ต้นปีนี้เช่น โครงการ Carbon Watch
โดยรวมสำหรับงวดครึ่งแรกปี68 บริษัทยังขาดทุนปกติ 88 ล้านบาท แต่เชื่อว่าการดำเนินงานจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นในครึ่งหลังปี68 ทำให้ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปี 68–69 ของ THCOM ไว้ที่ 29–78 ล้านบาท รวมทั้งคงราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 10 บาท
คงคำแนะนำ Neutral สำหรับ THCOM เพราะคาดกำไรปกติช่วงครึ่งหลังปี68 ดีขึ้น คาดไปแตะจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 4/68, ราคาหุ้นยังต่ำกว่า book value และมี upside หากบริษัทชนะประมูลเน็ตชายขอบ เฟส 3 คาดประมูลในไตรมาส 3/68 จะมีรายได้ค่าติดตั้งอุปกรณ์เข้ามาเพิ่มจากเฟสก่อนที่ไม่ได้ประมูลเอง และมีเฉพาะรายได้ค่าบริการให้ผู้ชนะ
KBANK ความท้าทายรออยู่
"ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK" ความท้าทายในช่วงครึ่งหลังของปี68 ทั้ง รายได้จากดอกเบี้ย (Interest Income) จากวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงได้อยู่ในประมาณการบางส่วนแล้ว หลังกำไรสุทธิงวดครึ่งแรกของปี68 ราว 2.6 หมื่นล้านบาท ลดลง -1% จากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 53% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีฝ่ายวิจัยแล้ว (54% ของ BB Consensus)
ขณะที่ประเด็นต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Credit Cost) ซึ่งมีโอกาสสูงเกินเป้าหมายทั้งปีสอดคล้องกับมุมมองฝ่ายวิจัยที่ได้นำเสนอมาตั้งแต่ต้นปี โดยรวมคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี
ทั้งนี้ สมมติฐาน Credit cost ฝ่ายวิจัยปี 2568-2570 อยู่ที่ 1.80%, 1.75% และ 1.70% ตามลำดับ ค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังปี 2558–2567 ที่ 1.95%, Max ที่ 2.39% และ Min ราว 1.7%) โดยภายใต้การวิเคราะห์ความละเอียดอ่อน (Sensitivity Analysis) พบว่าทุก 0.1% ของ Credit cost ที่เพิ่มขึ้น (ลดลง) จะทำให้กำไรฯ เปลี่ยนแปลงราว 4%
หากอิงวิธี Gordon Growth Model (GGM) ให้อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (PBV) ที่ 0.68 เท่า อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return On Equity :ROE) ที่ 8.8% และ ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น(Cost Of Equity– COE) 12% ได้ราคาเหมาะสม 165 บาท เทียบเท่า PER ในการประเมินมูลค่าที่ 8 เท่า เนื่องจากราคาหุ้นมี Upside 3% แต่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ราว 7% ต่อปี
โดยงวดครึ่งแรกของปี68 ที่ 2 บาทต่อหุ้น และโอกาสในการบริหารโครงสร้างเงินทุน ผ่านการซื้อหุ้นคืน มีโอกาสช่วยจำกัด Downside ต่อราคาหุ้น ท่ามกลางภาพอุตสาหกรรมธนาคาร ที่มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้น คงแนะนำ Neutral