คนทำงานสิงคโปร์ 60% ใช้เงินเดือนชนเดือน ค่าครองชีพพุ่ง–วัฒนธรรมใช้จ่ายกดดันการออม
ผลสำรวจชี้ แรงงานสิงคโปร์ กว่าครึ่งอยู่ในภาวะเงินเดือนหมดก่อนสิ้นเดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยเอเชีย–แปซิฟิก สะท้อนแรงกดดันจากค่าครองชีพสูง ราคาบ้านแพง และการบริโภคเชิงสถานะ
วันที่ 14 สิงหาคม 2568 เวลา 11.40 น. สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ชื่อเสียงของ "สิงคโปร์" ในฐานะประเทศที่รอบคอบด้านการเงินและมีอัตราการออมสูง กำลังแสดงให้เห็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ผู้เชี่ยวชาญสังเกตว่าค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ และการดูแลตัวเอง กำลังมีความสำคัญมากกว่าการวางแผนการเงินระยะยาว
โจแวน เหยี่ยว ชาวสิงคโปร์ วัย 32 ปี พนักงานบริษัทบริการธนาคารดิจิทัล กล่าวว่า “สิ้นเดือนเมื่อเงินเดือนออก ผมจะใช้จ่ายไปกับการชำระบัตรเครดิต ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ เบี้ยประกัน และการลงทุน …หลังจากนั้นเงินเดือนก็แทบหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือเก็บ” พร้อมเสริมว่ารายจ่ายอื่น ๆ จะไปกับการท่องเที่ยว กินข้าวนอกบ้าน และค่าสมาชิกคลาสออกกำลังกาย
ข้อมูลวิจัยปี 2568 จากบริษัทจัดทำบัญชีเงินเดือน ADP พบว่า 60% ของคนทำงานในสิงคโปร์อยู่ในภาวะใช้เงินเดือนชนเดือนในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย และสูงกว่าค่าเฉลี่ยเอเชีย–แปซิฟิกที่ 48%
นี่เป็นครั้งแรกที่การวิจัยของ ADP ซึ่งสำรวจเกือบ 38,000 คนใน 34 ตลาด ใช้ตัวชี้วัดนี้โดยตรง แต่รายงานอื่น ๆ ก็สะท้อนภาพคล้ายกัน ผลสำรวจของ Forrester Research ในปี 2564 พบว่าสัดส่วนชาวสิงคโปร์ที่ใช้เงินเดือนชนเดือนอยู่ที่ 53% ซึ่งต่ำกว่าปัจจุบัน
รายงานความเป็นอยู่ทางการเงินของ Oversea-Chinese Banking Corp (OCBC) ปลายปี 25567 ยังระบุว่า ชาวสิงคโปร์วัย 20–50 ปี มีจำนวนน้อยลงที่เริ่มวางแผนการเงินเพื่อเกษียณเมื่อเทียบกับปี 2566 และคนวัย 20 ก็มักใช้จ่ายเกินตัวเพื่อให้ทันกับเพื่อนฝูงมากกว่ากลุ่มอายุอื่น ๆ
เหยี่ยวยอมรับว่าการออมเป็นเรื่องสำคัญ แต่บอกกับ CNBC ว่าเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสภาพค่าครองชีพปัจจุบัน “ผมก็ออมได้นะ ถ้าไม่ออกไปไหน แต่ผมก็อยากใช้ชีวิตและมีประสบการณ์ด้วย!”
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคกดดันการออม
ไบรอัน ลี นักเศรษฐศาสตร์จาก Maybank Research ระบุว่าปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคหลายอย่างทำให้การออมในสิงคโปร์ยากขึ้นจริง แม้อัตราเงินเฟ้อล่าสุดลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่ประเทศยังมีค่าครองชีพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากปัจจัยโครงสร้าง เช่น ราคาที่อยู่อาศัยและต้นทุนการนำเข้าสูง
ข้อมูลจาก Numbeo ระบุว่าดัชนีค่าครองชีพของสิงคโปร์อยู่ในอันดับ 5 ของโลกที่ 85.3 (กลางปี 2568) และสูงสุดในภูมิภาค เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน
ผลสำรวจ YouGov เดือนเมษายนพบว่า ค่าครองชีพเป็นความกังวลสูงสุดของชาวสิงคโปร์ 72% รองลงมาคือสาธารณสุขและปัญหาสังคมผู้สูงอายุ
“หลังโควิด ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ ทำให้กำลังซื้อของแรงงานทั่วไปลดลงเฉลี่ยต่อปี แทนที่จะเพิ่มขึ้นเหมือนในอดีต” ลีกล่าว
รายได้การจ้างงานมัธยฐานที่ปรับตามเงินเฟ้อแล้ว ลดลงเฉลี่ย 0.4% ต่อปี ระหว่างปี 2562–2567 ซึ่งตรงข้ามกับการเติบโตเฉลี่ย 2.2% ต่อปีในช่วง 2547–2562 แม้ปี 2567 รายได้จริงจะฟื้นตัว แต่คาดว่าจะชะลอตัวในปี 2025 จากผลกระทบของภาษีศุลกากร โดยเฉพาะในภาคการค้าที่พึ่งพาการส่งออก เช่น การค้าส่งและการผลิต
ราคาที่อยู่อาศัยยิ่งเพิ่มแรงกดดัน ราคาขายต่อของแฟลต HDB บ้านของประชาชนกว่า 80% ของประเทศ เพิ่มขึ้น 9.6% ในปี 2567 จาก 4.9% ในปี 2566
“สิงคโปร์มีข้อจำกัดด้านที่ดินและทรัพยากร ส่งผลให้ราคาบ้านและรถสูง รวมถึงต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหาร ทำให้เงินเฟ้อในประเทศเชื่อมโยงกับเงินเฟ้อโลก” ลีอธิบาย
“100% Spenders” และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่าปัญหาไม่ได้มาจากค่าครองชีพอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น ความรู้สึกว่าการออมไม่จำเป็นเท่าเดิม หรือการใช้จ่ายเกินตัว
โจชัว ลิม ผู้จัดการความมั่งคั่งจาก PhillipCapital กล่าวว่า การใช้จ่ายมีลักษณะเพื่อแสดงฐานะและไลฟ์สไตล์สินค้าหรูเป็นที่นิยมมาก เช่น Mercedes เป็นหนึ่งในแบรนด์ขายดี รถยนต์ในสิงคโปร์มีราคาแพงมากเพราะระบบใบอนุญาตครอบครองรถ (COE) ที่ต้องประมูลเพื่อสิทธิ์ครอบครอง ซึ่งราคา COE เพียงอย่างเดียวอาจเกิน 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ บางครั้งสูงกว่าราคารถ
สำหรับ “100% Spenders” หรือผู้ที่ไม่ชอบเก็บออม ลิมชี้ว่าพวกเขาใช้เงินที่ยังไม่ได้หาได้ด้วยซ้ำ ผ่านระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (BNPL) ที่ทำให้ผูกพันกับรายจ่ายล่วงหน้าได้ง่ายขึ้น ข้อมูลจากธนาคารกลางสิงคโปร์ระบุว่ามูลค่าธุรกรรม BNPL ในปี 2564 อยู่ที่ราว 440 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มเกือบ 4 เท่าจากปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มจาก 4% ของธุรกรรมอีคอมเมิร์ซในปี 2566 เป็น 6% ภายในปี 2571
ลิมมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมหนี้ ซึ่งการตอบสนองความต้องการทันทีและการสร้างภาพลักษณ์สำคัญกว่าความรอบคอบทางการเงินแบบคนรุ่นก่อน
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ใช้เงินเดือนชนเดือนอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลาง คิดเป็น 60–70% ของลูกค้าที่มาขอคำปรึกษาด้านการออม ขณะที่กลุ่มรายได้สูงมี 20% และรายได้ต่ำมีเพียง 10%
ความต่างระหว่างรุ่น
เหอ รุ่ยหมิง ผู้ร่วมก่อตั้งบล็อก The Woke Salaryman ซึ่งเน้นให้ความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคล กล่าวว่า กระแสบริโภคนิยมฝังรากลึกกว่าที่เคย ทำให้การออมยากขึ้น คนรุ่นนี้เติบโตมากับการตลาดมากกว่า จึงมีแรงกระตุ้นให้ซื้อของสูง และเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมากขึ้น
จอยซ์ อัง ชาวสิงคโปร์วัย 34 ปี เห็นด้วยว่าเธอไม่รู้สึกถึงความจำเป็นต้องออมเหมือนพ่อแม่ ฉันรู้สึกปลอดภัยที่จะใช้เงิน เพราะยังไม่มีคู่ และอยู่กับพ่อแม่ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องบ้าน และไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน
เธอมองว่าค่านิยมต่างจากรุ่นพ่อแม่ สมัยพ่อแม่จะออมเพื่อมีลูก แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่ทุกคนอยากมีลูก… เราเลยไม่จำเป็นต้องเก็บออมอย่างเข้มงวด” เธอกล่าว โดยมีรายได้สุทธิราว 3,800 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อเดือน
ทั้งนี้รายได้สุทธิของชาวสิงคโปร์ต่ำกว่ารายได้รวมเพราะต้องหักเงินสมทบกองทุนสำรองกลาง (CPF) อัตโนมัติสูงสุด 20% ต่อเดือน สำหรับการเกษียณอายุ ที่อยู่อาศัย และการรักษาพยาบาล
อ้างอิง : cnbc.com