โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ทูน่า-กุ้งแพงรับ ‘ภาษีทรัมป์’ ไทยชิงแชร์แย่งตลาดสหรัฐ 3 หมื่นล้าน

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 16 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตลาดส่งออกกุ้ง-ทูน่า 30,000 ล้านบาทไทยปั่นป่วน หลังประเทศคู่แข่งโดนอัตราภาษีทรัมป์ใกล้เคียงกันระหว่าง 19-20% มีผลกุ้ง-ทูน่ากระป๋องราคาขยับขึ้นยกแผง 5-7% ทำกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง กรมประมงคาดการณ์สินค้าทั้ง 2 กลุ่มจะส่งออกไปสหรัฐลดลง 5-10% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ให้จับตา “ทูน่า” เวียดนาม-อินโดนีเซียมาแรง พร้อมเขย่าบัลลังก์แชมป์ทูน่าไทย ขณะที่ “กุ้ง” เอกวาดอร์คู่แข่งผลผลิตเพิ่มต้นทุนต่ำ แต่ยังถูกสกัดด้วยภาษีทุ่มตลาด ช่วยกุ้งไทยยังมีแต้มต่อ

การประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา (มีผลบังคับใช้ 7 สิงหาคม 2568) โดยประเทศไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 19% แม้จะเป็นอัตราที่ “ใกล้เคียง” กับประเทศคู่แข่งในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐ หรือเท่ากับทุกประเทศคู่แข่งเริ่มต้นในอัตราภาษีในระดับเดียวกันก็ตาม แต่กลับส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการนำเข้าสินค้าของสหรัฐ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าในกลุ่มอาหารทะเล ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งตลาดสหรัฐอยู่ในอันดับต้น ๆ จะต้องเผชิญกับการแข่งขันทางด้านราคาที่เพิ่มสูงขึ้นจากอัตราภาษีนำเข้าคาดการณ์มูลค่าส่งออกจะลดลงระหว่าง 5-10% จำเป็นที่ผู้ส่งออกจะต้องลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้แข่งขันได้หรือแสวงหา “ตลาดใหม่” นอกเหนือไปจากตลาดหลักอย่างสหรัฐ

ส่งออกสหรัฐลดลง 5-10%

รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้มีการเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตสินค้าอาหารทะเลและการประมงเพื่อเตรียมรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาษีตอบโต้สหรัฐ (Reciprocal Tariffs) แม้ประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บลดลงในอัตรา 19% จากอัตราเดิมที่ 36%

แต่ประเทศคู่แข่งในกลุ่มผู้ส่งออกอาหารทะเลก็ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่ใกล้เคียงกันด้วย กล่าวคือ เวียดนาม 20%, อินโดนีเซีย 19%, มาเลเซีย 19%, ฟิลิปปินส์ 19%, เอกวาดอร์ 15%, สหภาพยุโรป 15%, เกาหลีใต้ 15%, ญี่ปุ่น 15% ยกเว้น “อินเดีย” ซึ่งเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดเข้าตลาดสหรัฐยังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อขอลดภาษีตอบโต้ลง ซึ่งขณะนี้ถูกเรียกเก็บอยู่ที่ 50%

โดยกรมประมงได้ประเมินผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับจากการที่ สหรัฐ เป็นตลาดส่งออกสินค้าอาหารทะเลอันดับ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งออกปลาทูน่าคิดเป็น 47% กับกุ้ง 31% ซึ่ง 2 รายการรวมกันคิดเป็น 78% หรือเกินกว่าครึ่งของการส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงและอาหารทะเลทั้งหมดของประเทศ

พร้อมทั้งคาดการณ์การส่งออกปลาทูน่ากระป๋องจะมีมูลค่าลดลงประมาณ 994-1,988 ล้านบาท และกุ้งจะมีมูลค่าลดลงประมาณ 868 ล้านบาท แต่หากคำนวณผลกระทบในภาพรวมของการส่งออกสินค้าประมงและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะลดลงระหว่าง 5-10% คิดเป็นมูลค่าระหว่าง 2,410-4,821 ล้านบาท

“สินค้าในกลุ่มประมงและอาหารทะเลเป็นเป้าหมายหลักที่สหรัฐพยายามจะเก็บภาษีตอบโต้เฉพาะการส่งออกจากประเทศไทย ซึ่งติด 1 ใน 10 ประเทศที่จะส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้ไปยังสหรัฐสูงสุด พบว่าเฉลี่ยการส่งออกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นฝ่ายได้ดุลสินค้าประมงเฉลี่ย 40,556 ล้านบาท/ปี โดยในปี 2567 ไทยได้ดุลการค้าสินค้าประมงสหรัฐมากถึง 47,087 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของความพยายามของสหรัฐที่จะลดการขาดดุลสินค้าประมงลง” แหล่งข่าวกล่าว

คู่แข่งทูน่า “เวียดนาม-อินโดฯ”

ในส่วนของสินค้าทูน่า วัตถุดิบในการผลิตเกือบทั้งหมดจะมาจากการนำเข้าทูน่าปริมาณ 861,292 ตัน คิดเป็นมูลค่า 50,443 ล้านบาท (ปี 2567) ในจำนวนนี้เป็นการนำเข้าทูน่าแช่แข็งที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทูน่ากระป๋องถึง 97% (Skipjack 80%-Yellowfin 11.3%-Albacore 4.3%-Bigeye 1.8%) การนำเข้าส่วนใหญ่มาจากกองเรือจับปลาทูน่าไต้หวันคิดเป็น 17.9% ไมโครนีเซีย 14.9% เกาหลีใต้ 13.2% นาอูรู/วานูอาตู ประเทศละ 11.3-6.9% ตามลำดับ

ด้านการส่งออกสินค้าทูน่าไปยังตลาดสหรัฐในปี 2567 คิดเป็นปริมาณ 117,784 ตัน มูลค่า 19,176 ล้านบาท แบ่งเป็น การส่งออกทูน่ากระป๋อง 87.7% (ปริมาณ 106,033 ตัน มูลค่า 16,825 ล้านบาท) ทูน่าแปรรูป 8.2% และทูน่าแช่เย็นแช่แข็ง 4.1% อัตราภาษีนำเข้าเดิมอยู่ที่ประมาณ 12.5%

“เมื่อพิจารณาอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่ไทยถูกเรียกเก็บอยู่ที่ 19% จะใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวียดนาม-อินโดนีเซีย ที่อยู่ในลำดับ 2-3 รองจากไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐเป็นอันดับ 1 โดยผลกระทบที่ไทยจะได้รับก็คือ ราคาทูน่าในสหรัฐจะปรับเพิ่มขึ้นจากอัตราภาษีตอบโต้

เฉพาะไทยเคยเสียอยู่ในอัตรา 12.5% เพิ่มขึ้นเป็น 19% หรือเพิ่ม 6.5% ดังนั้น ไทยอาจจะส่งทูน่าเข้าสหรัฐได้น้อยลง เมื่อต้องเผชิญกับการแข่งขันจากคู่แข่ง คาดการณ์การส่งออกทูน่าไทยจะลดลง 5-10% หรือคิดเป็นมูลค่า 994-1,988 ล้านบาท” แหล่งข่าวกล่าว

จับตากุ้งเอกวาดอร์

ส่วนสินค้ากุ้ง ในปี 2567 มีผลผลิตกุ้งจากฟาร์มในประเทศประมาณ 372,000 ตัน (กุ้งขาวแวนนาไม 350,000 ตัน-กุ้งกุลาดำ 22,000 ตัน) คิดเป็นมูลค่า 59,035 ล้านบาท มีการนำเข้ากุ้งน้ำเย็น (กุ้งแดง-ส่วนใหญ่นำเข้าจากอาร์เจนตินา) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบส่งออกกุ้งปรุงแต่งปริมาณ 14,474 ตัน คิดเป็นมูลค่า 2,416 ล้านบาท ในปี 2567 มีการส่งออกกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ไปตลาดสหรัฐ ปริมาณ 27,287 ตัน คิดเป็นมูลค่า 10,813 ล้านบาท

ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกกุ้งปรุงแต่ง 43% กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง 36% และกุ้งกระป๋อง 20.31% อัตราภาษีการนำเข้าตลาดสหรัฐเดิมเป็น 0% แต่มีกุ้งไทยถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดอยู่ในอัตราระหว่าง 0.57-5.34% (อัตราทบทวนรอบ 3 ปี 2566)

“ไทยส่งออกกุ้งไปยังตลาดสหรัฐเฉลี่ยปีละ 31,858 ตัน (ระหว่างปี 2565-2567) คิดเป็นมูลค่า 369 ล้านเหรียญ โดยสหรัฐนำเข้ากุ้งจากประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 5 รองจากอินเดีย (ภาษี 50%) เอกวาดอร์(15%) อินโดนีเซีย (19%) และเวียดนาม (20%) ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาษีใกล้กันมาก ดังนั้น คาดการณ์อัตราภาษีตอบโต้จะไม่ทำให้กุ้งไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบคู่แข่งมากนัก ยกเว้น กุ้งจากเอกวาดอร์ ที่ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย 4% และยังเป็นประเทศผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่ที่สุดและมีต้นทุนการผลิตต่ำสุด จะส่งผลในภาพรวมจากราคากุ้งในตลาดสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้น

ขณะที่ต้นทุนไทยสูงกว่าคู่แข่ง คาดการณ์กุ้งไทยไปสหรัฐจะส่งออกลดลงประมาณ 2,092 ตัน คิดเป็นมูลค่า 868 ล้านบาท โดยกุ้งแปรรูป (พิกัด 1605) ยังมีโอกาสที่จะแข่งขันได้ดีกว่า กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง (พิกัด 0306) ในตลาดสหรัฐ” แหล่งข่าวกล่าว

ทูน่าจะราคาสูงขึ้น

นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย (TTIA) กล่าวว่า อัตราภาษีตอบโต้ที่ไทยได้รับ 19% ในกลุ่มการส่งออกสินค้าอาหารทะเล รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง ทำให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันพอสมควร ดังนั้น การส่งออกเชื่อว่า “ไม่มีปัญหาแน่นอน การส่งออกของไทยในตลาดอเมริกายังเติบโตได้”

แต่สิ่งที่น่าติดตามก็คือ เมื่ออัตราภาษีมีความชัดเจนจะมีผลทำให้ราคาสินค้าในตลาดสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น แม้ศักยภาพและการแข่งขันของสินค้าไทยจะแข่งขันได้ แต่ทั้งนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับผู้บริโภคในตลาดสหรัฐว่า จะยอมรับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ หากผู้บริโภครับได้ก็เชื่อว่า การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้จะเติบโตได้ในภาพรวมปี 2568 ที่ 5% ซึ่งการส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกของปีขยายตัวกว่า 10% โดยอัตราภาษีตอบโต้ที่เพิ่มขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อราคาปลายทางสูง 5-7%

ดังนั้น ไทยจำเป็นจะต้องมาบริหารจัดการเรื่องของต้นทุนตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อยังคงสามารถให้ทำการแข่งขันในตลาด ส่วนจะมีการพิจารณาแบกรับภาระประมาณเท่าไหร่ ก็อาจจะต้องมีการพูดคุยหารือกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ดีมานด์ในตลาดเกิดภาวะช็อก” นายชนินทร์กล่าว

อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่า จากราคาสินค้าทูน่าที่เพิ่มขึ้นก็ “อาจจะมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าคงไม่มาก” เพราะปัจจุบันในกลุ่มสินค้าปลาทูน่า-อาหารกระป๋อง เองก็ได้มีการขยายการส่งออกไปประเทศอื่นมากขึ้น เพราะปัจจุบันการส่งออกของไทยไม่ได้พึ่งเพียงตลาดเดียว

และในอนาคตระยะยาวก็มองว่า ตลาดสหรัฐโอกาสที่จะเพิ่มสัดส่วนการทำตลาด “คงจะไม่ขยายตัวไปมากกว่านี้แล้ว” แต่ยังคงรักษามาตรฐานและสัดส่วนนี้ไว้ ซึ่งอนาคตมองสัดส่วนตลาดไว้ที่ 15% น่าจะเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม

“ผู้ส่งออกไทยเดินหน้าเร่งการทำตลาดมากขึ้น เพราะยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาก่อนหน้า แต่จากอัตราภาษีที่ยังไม่มีความชัดเจนมีผลทำให้ชะลอ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้ว ทำให้ผู้ส่งออกเดินหน้าทำตลาดเต็มที่ เพราะเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องคำสั่งซื้อหรือกำลังการผลิต” นายชนินทร์กล่าว

กุ้งคู่แข่งเจอภาษีทุ่มตลาด

นายอนุชา เตชะนิธิสวัสดิ์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า การส่งออกกุ้งไทยไปในตลาดสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 นี้ “อาจจะมีการชะลอปรับลดลงบ้าง” เนื่องจากว่าในช่วงครึ่งปีแรก ผู้นำเข้ามีการนำเข้าสต๊อกไว้เป็นจำนวนมาก และพร้อมกันนี้จากการประกาศอัตราภาษีสหรัฐ ซึ่งไทยถูกอัตราภาษีที่ 19% ก็ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อราคาสินค้าในตลาดสหรัฐ มีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปกติแล้วราคาสินค้ากุ้งไทยในตลาดก็ถือว่า สูงกว่าคู่แข่งประมาณ 10%

แต่ทั้งนี้ เมื่ออัตราภาษีของคู่แข่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ประกอบกับประเทศคู่แข่งถูกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ก็ยังคงเชื่อว่ากุ้งไทยยังสามารถแข่งขันได้ โดยปีนี้คาดการณ์ว่าการส่งออกกุ้งไทย น่าจะมีปริมาณและมูลค่าลดลงประมาณ 10-20% เมื่อเทียบจากปีที่แล้วซึ่งมีการส่งออกอยู่ที่ 27,000 ตัน มีมูลค่าอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท

โดยมองว่าเป็นผลจากการเล่นสต๊อกสินค้าก่อนหน้า ประกอบกับราคาสินค้าในตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้นจากอัตราภาษี รวมไปถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐลดลง โดยตลาดจะน่าห่วงและกังวลมากคือในช่วงไตรมาสหนึ่งของปี 2569

สำหรับมาตรการ AD ซึ่งคาดว่าเดือนกันยายน 2568 สหรัฐจะมีการประกาศทบทวนอัตรา AD และเมื่อดูผู้ส่งออกกุ้งไทยไปในตลาดสหรัฐ ซึ่งมีประมาณ 15 บริษัท และ 4 บริษัทในจำนวนนี้เป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ คิดเป็น 80% ผู้ส่งออกกุ้งแช่แข็งและแปรรูปที่ส่งไปในตลาดสหรัฐนั้น “ไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาด” จึงเชื่อว่าไทยยังสามารถแข่งขันในตลาดนี้ได้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะต้องเร่งเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันคือ การบริหารจัดการเรื่องของต้นทุนการเลี้ยงกุ้งของผู้เลี้ยงกุ้งในไทย และการจัดการเรื่องของปัญหาโรคในกุ้งเพื่อยังคงศักยภาพในการแข่งขัน

ด้านนายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า จากอัตราภาษีตอบโต้ 19% เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว กุ้งไทยยังสามารถทำตลาดส่งออกไปในตลาดสหรัฐได้ แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าไทยยังติดกับดักเรื่องของโรคในกุ้ง ซึ่งมีผลกระทบต่อผลผลิตกุ้งไทยในปัจจุบันลดลงอย่างมาก

โดยปริมาณการส่งออกกุ้งไทยไปสหรัฐปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000-50,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาท จากในอดีตที่เคยส่งไปประมาณ 200,000-300,000 ตัน โดยปีนี้คาดการณ์ผลผลิตกุ้งในประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 230,000-240,000 ตัน หรือลดลงจากปี 2567 ที่ปริมาณ 270,000 ตัน

“ถ้าเทียบอัตราภาษีตอบโต้ระหว่างไทยกับคู่แข่ง เช่น เวียดนามได้อัตราภาษีที่ 20% อินโดนีเซีย 19% เอกวาดอร์ 15% อินเดียเจอภาษีที่ 50% สมาคมคาดว่ากุ้งไทยยังสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้ เพราะอินเดียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เจออัตราภาษีที่สูงขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถเข้าทำดึงส่วนแบ่งตลาดได้ รวมไปถึงกลุ่มประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ยังถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาด (AD) ไม่ว่าจะเป็น เอกวาดอร์-อินเดีย-เวียดนาม และอินโดนีเซีย หรือเท่ากับภาษีนำเข้ากุ้งจากกลุ่มประเทศเหล่านี้จะถูกบวกเพิ่มเข้าไปอีก”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทูน่า-กุ้งแพงรับ ‘ภาษีทรัมป์’ ไทยชิงแชร์แย่งตลาดสหรัฐ 3 หมื่นล้าน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

‘โรงแรม-ค้าปลีก’ หนี้เสียพุ่ง NPL ธุรกิจขนาดจิ๋วทะลุ 14.8%

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ปุ๋ย-ยาเคมีดัมพ์ราคาขายไม่ออก ทุเรียน-ผลไม้ยอดร่วงทั้งประเทศ

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

สนค.เร่งสร้างเสถียรภาพ การค้าสินค้าโคเนื้อและโคนม

หุ้นวิชั่น

ถ่ายทอดสด หวยออมสิน ผลสลากออมสินพิเศษ 1 ปี งวดล่าสุด 16 สิงหาคม 2568

sanook.com

Recap อสังหาไทยแย่ใน 100 ปี ทรัมป์ไม่เก็บภาษีทองคำ กดดอกเบี้ยต่ำใน 2 ปี | คุยกับบัญชา | 16 ส.ค. 68

BTimes

ตรวจสลากออมสิน 16/8/68 สลากออมสินพิเศษ 1 ปี งวด 16 สิงหาคม 2568

sanook.com

"รมว.คลัง" โพสต์ยืนยันใช้งบฯปีนี้โปร่งใส ลั่นขับเคลื่อนประเทศตามนโยบายและแผนงานที่กำหนด

สยามรัฐ

ราคาทองวันเสาร์ที่ 16 ส.ค. 2568 เปิดตลาดขึ้น 50 บาทเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า

PPTV HD 36

ราคาทองวันนี้ล่าสุด 16 สิงหาคม 2568 ปรับเพิ่ม 50 บาท ราคาทองรูปพรรณ บาทละ 52,150 บาท

Thairath Money

เช็ควันหยุดธนาคารปี 69 หลัง ธปท. ประกาศล่าสุด ก่อนวางแผนทำธุรกรรม

ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทูน่า-กุ้งแพงรับ ‘ภาษีทรัมป์’ ไทยชิงแชร์แย่งตลาดสหรัฐ 3 หมื่นล้าน

ประชาชาติธุรกิจ

‘โรงแรม-ค้าปลีก’ หนี้เสียพุ่ง NPL ธุรกิจขนาดจิ๋วทะลุ 14.8%

ประชาชาติธุรกิจ

ปุ๋ย-ยาเคมีดัมพ์ราคาขายไม่ออก ทุเรียน-ผลไม้ยอดร่วงทั้งประเทศ

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...