‘โรงแรม-ค้าปลีก’ หนี้เสียพุ่ง NPL ธุรกิจขนาดจิ๋วทะลุ 14.8%
จับสัญญาณหนี้เสีย “ธุรกิจขนาดจิ๋ว” สูง 14.81% ศูนย์วิจัยกสิกรฯเกาะติดกลุ่มธุรกิจ “โรงแรม-ค้าปลีก” พบปัญหาหนี้เสียก้าวกระโดด ผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น เผยบัญชีลูกหนี้ปกติทยอยปรับลดลง ขณะที่ตัวเลขหนี้ครัวเรือนคงค้างติดลบเป็นครั้งแรกลดลง 2 หมื่นล้าน เผย 2 ปัจจัยหลัก แบงก์ไม่ปล่อยกู้-เศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคระวังใช้จ่าย คาดสิ้นปี’68 หนี้ครัวเรือนต่อจีพีดีอยู่ที่ 87%
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของงบการเงินธนาคารพาณิชย์ 9 แห่งในไตรมาสที่ 2/2568 มีแนวโน้มขยับเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3.16% และสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM : ค้างชำระ 31-90 วัน) อยู่ที่ 7.17%
ขณะที่ข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ในส่วนของบัญชีลูกหนี้ธุรกิจไตรมาสที่ 1/2568 พบว่า ภาพรวมหนี้เอ็นพีแอล และ SM อยู่ที่ 5.03% ของสินเชื่อ ทรงตัวจากไตรมาสที่ 4/2567 อยู่ที่ 5.02% แต่มีทิศทางแย่ขึ้น และสูงเมื่อเทียบในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจยังคงไม่เป็นปกติจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้าและไม่ทั่วถึง
ธุรกิจจิ๋วหนี้เสียสูง 14.81%
ทั้งนี้ หากแบ่งตามขนาดของธุรกิจจะพบว่า ธุรกิจขนาดเล็กจะมีสัญญาณหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่น โดยกลุ่มธุรกิจขนาดจิ๋ว (Super Micro) ที่มียอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท หนี้เสียสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม กลุ่มธุรกิจไมโคร (Micro) ยอดสินเชื่อคงค้างตั้งแต่ 5-20 ล้านบาท เอ็นพีแอลอยู่ที่ 12.11%
ส่วนธุรกิจขนาดเล็ก (Small) ที่มียอดคงค้าง 20-100 ล้านบาท เอ็นพีแอลอยู่ที่ 9.75% กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Medium) ที่มียอดสินเชื่อคงค้าง 100-500 ล้านบาท เอ็นพีแอล 6.51% และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Large) ที่มียอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 500 ล้านบาท เอ็นพีแอลอยู่ที่ 1.37% อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีการดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุก และจากมาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ส่งผลให้ตัวเลข SM ทยอยปรับลดลงทุกกลุ่มตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567
“เราเห็นจำนวนบัญชีที่มีการปรับโครงสร้างหนี้เยอะขึ้น จากมาตรการของ ธปท.ที่ให้ปรับก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย ทำให้ตัวเลขค้างชำระหนี้ไม่เกิน 30 วัน ทยอยปรับลดลง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างในบัญชีที่มีการค้างชำระใหม่ ๆ โดยตัวเลขที่มีการปรับโครงสร้างในส่วนของแบงก์และสถาบันการเงินของรัฐสูงถึง 87.8%”
“โรงแรม-ค้าปลีก” NPL กระโดด
นายกฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจที่มีสัญญาณหนี้ด้อยคุณภาพทั้งในส่วนของเอ็นพีแอลและผิดนัดชำระหนี้ลามมาที่รายกลาง และใหญ่ จะอยู่ในส่วนของธุรกิจที่พักแรม เนื่องจากเชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยว แม้ว่าตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 1/2568 จะออกมาดี แต่เห็นสัญญาณการกระโดดขึ้นของตัวเลข SM และเห็นการผิดนัดชำระหนี้กระโดดสูงขึ้น ในกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ถึง 40% ถือเป็นสัญญาณที่ต้องเข้าไปดูแลเพิ่มเติม
เช่นเดียวกับกลุ่มค้าส่งค้าปลีก ที่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นทั้งหนี้เอ็นพีแอลและ SM ขณะที่ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มีการซบเซามานาน โดยเห็นการปรับเพิ่มขึ้นของ SM โดยเฉพาะกลุ่มขนาดจิ๋ว และรายใหญ่ ที่มีสัดส่วนผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น
“ภาพเศรษฐกิจที่เติบโตในไตรมาสที่ 1/68 ไม่ได้สะท้อนไปยังคุณภาพหนี้ โดยยังเห็นปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น และปัจจัยลบครึ่งปีหลัง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัว การส่งออกเริ่มหดตัวจากนโยบายภาษีสหรัฐจะเพิ่มปัญหาให้กับภาคการผลิต และคุณภาพหนี้ลุกลามไปสู่กลุ่มธุรกิจรายใหญ่มากขึ้นด้วย”
บัญชีลูกหนี้ชำระปกติน้อยลง
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การแบ่งหนี้ออกเป็นกลุ่มปกติ (Good) เริ่มมีปัญหา (Newly Impaired) ดีสลับแย่ (On-Off) และมีปัญหารุนแรง (Distressed) จากข้อมูลพบว่า บัญชีธุรกิจประมาณ 95% ยังอยู่ในกลุ่มปกติ แต่จะเห็นว่าจากปัญหาเศรษฐกิจและวิกฤตหลายระลอก ทำให้หนี้กลุ่ม Good ชำระหนี้ปกติ มีสัดส่วนบัญชีลดลง และกลุ่มธุรกิจที่มีสถานะไม่ปกติมีจำนวนเพิ่มขึ้น
2 ปัจจัยหลักสินเชื่อหดตัว
ดร.กาญจนากล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ยอดหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาสที่ 1/2568 อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท โดยสถานการณ์เป็นการทยอยปรับลดลงจากจุดสูงสุดในไตรมาสที่ 4/2567 ที่อยู่ 16.42 ล้านล้านบาท และหากเทียบกับไตรมาส 1/2567 (อยู่ที่ 16.37 ล้านล้านบาท) จะเห็นว่ายอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยมีอัตราการติดลบเป็นครั้งแรก โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีไตรมาสที่ 1/2568 ปรับลดลงอยู่ที่ 87.4% จากที่เคยสูงสุดในไตรมาสที่ 1/2564 ที่ระดับ 95.5%
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้ ตามความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การปล่อยสินเชื่อในหลาย ๆ สถาบันการเงินหดตัว เช่น สินเชื่อเช่าซื้อที่ติดลบต่อเนื่อง สินเชื่อบ้านยังลดลง เช่นเดียวกับกลุ่มบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพหดตัวติดลบ
หากดูในรายละเอียดหนี้ครัวเรือนไทยจะพบว่า มีเพียงบางกลุ่มที่การปล่อยสินเชื่อยังเป็นบวก เป็นกลุ่มรายได้ไม่สูง เช่น โรงรับจำนำ สหกรณ์ เป็นต้น
ดร.กาญจนากล่าวว่า สัญญาณการปล่อยสินเชื่อติดลบ สะท้อนว่าผู้กู้หรือครัวเรือนมีความระวังในการกู้ยืมจากภาวะเศรษฐกิจ และสถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยกู้สินเชื่อเช่นเดียวกัน รวมทั้งยอดชำระหนี้คืนสูงกว่าปล่อยใหม่ เนื่องจากในไตรมาสแรกเป็นช่วงฤดูกาลการชำระหนี้ เช่น ได้โบนัสมาชำระหนี้ ซึ่งเป็นแรงกดดันการปล่อยสินเชื่อใหม่
โดยคาดว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในสิ้นปี’68 เบื้องต้นไม่เกิน 87% ของจีดีพี ด้วยยอดคงค้าง 16.36 ล้านล้านบาท โดยตัวเลขไตรมาสที่ 2/68 น่าจะทรงตัว และเทรนด์ลดลงในช่วงที่เหลือของปี
กนง.ลด ดบ.ลดภาระลูกหนี้ 7 พันล้าน
นางสาวธัญญลักษณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.50% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตาม 0.25% ต่อปี และเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ M Rate ทั้งกระดาน ซึ่งถือว่าเป็นการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงจากนโยบายภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ ซึ่งจะช่วยลดภาระลูกหนี้โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อบ้านแลกเงิน
รวมถึงสินเชื่อธุรกิจบางส่วน ซึ่งหากดูข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะพบว่าลูกหนี้ที่ได้ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ มีสัดส่วนประมาณ 60% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งสามารถช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ สิงหาคม-ธันวาคม 2568 คิดเป็นมูลค่าราว 7,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อาจไม่ได้ช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนปรับลดลงทันที มองไปข้างหน้าหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากหนี้โตช้า หรือติดลบ ขณะที่เศรษฐกิจแม้จะโตช้าแต่ยังคงเติบโต ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะยังคงทยอยปรับลดลง และเราอยู่ในกระบวนการลดหนี้ต่อรายได้ (Debt Deleveraging) ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี โดยต้องอาศัยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการปล่อยสินเชื่อไม่ได้ขยายตัวมากนัก
แบงก์เซฟตัวเองไม่ปล่อยกู้
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทิศทางหนี้ครัวเรือนน่าจะทรงตัว ไม่ได้เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้ว่าเศรษฐกิจภาพรวมจะไม่ได้ขยายตัวมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นมาตรการช่วยลดหนี้ครัวเรือน ประกอบกับคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง หลังจากมีการปรับลดไปในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ซึ่งช่วยอัดฉีดเงินเข้าระบบ ถือเป็นปัจจัยทำให้หนี้ครัวเรือนไม่ได้เร่งสูงขึ้น
การลดลงของหนี้ครัวเรือน ส่วนหนึ่งมาจากสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อน้อยลง จะเห็นว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ บัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลไม่ได้ขยายตัวมาก โดยตัวเลขสินเชื่อภาพรวมระบบของธนาคารพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 จะเห็นว่าสินเชื่อภาคธนาคารหดตัว -1% จากปีก่อน ขณะที่สินเชื่อของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์) มีสัดส่วนในหนี้ครัวเรือนค่อนข้างน้อยประมาณ 1-2% เท่านั้น
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารมีความรัดกุมและระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ภายใต้ทิศทางเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยง และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี การลดปัญหาหนี้ครัวเรือน สิ่งที่จะแก้ได้คือ เศรษฐกิจจะต้องขยายตัว และรายได้ต้องเติบโต จึงจะทำให้หนี้ครัวเรือนปรับลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารได้ร่วมมือกับภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการลดหนี้ครัวเรือนอยู่ ผ่านมาตรการช่วยเหลือ หรือมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย”
แก้โจทย์ “หนี้ครัวเรือน”
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBT เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า 1-2 ปีหลังจากนี้จะเห็นภาพหนี้ครัวเรือนไทยทรงตัว หรือปรับลดลงเล็กน้อย เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถยนต์ หรือธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีการกู้ยืมเพื่อประกอบธุรกิจก็ปรับตัวลดลง ภายใต้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไม่ได้หดตัว และยังคงขยายตัว แม้ว่าจะโตช้าก็ตาม ดังนั้น หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีมีโอกาสปรับตัวลดลงทั้งในปีนี้และปี 2569
อย่างไรก็ดี การควบคุมหนี้ครัวเรือนได้ในระดับหนึ่ง จะเริ่มเห็นเสถียรภาพในตลาดการเงินเริ่มปรับดีขึ้น เพราะเราเคยกังวลว่าหากมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้สินเชื่อจะขยายตัว แต่ปัจจุบันแม้ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย สินเชื่อก็ไม่โต เพราะธนาคารระมัดระวังเป็นห่วงด้านเครดิต ดังนั้น ในอนาคตอาจจะต้องมองหาวิธีให้คนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น
“ส่วนหนึ่งหนี้ครัวเรือนที่ลดลง อาจจะมีผลมาจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่น มาตรการ Responsible Lending เพื่อให้แบงก์ปล่อยก็เท่าที่จำเป็น ขณะเดียวกัน แบงก์ก็เซฟตัวเองไม่ปล่อยสินเชื่อ ทั้งบ้าน สินเชื่อรถ อเนกประสงค์ เพราะมีปัญหาไม่ใช่แค่หนี้เอ็นพีแอลสูงอย่างเดียว แต่ตัวเลข SM (ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน) ก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน ทำให้ทุกคนต้องเซฟตัวเองก่อน”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘โรงแรม-ค้าปลีก’ หนี้เสียพุ่ง NPL ธุรกิจขนาดจิ๋วทะลุ 14.8%
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net