สงครามการค้าพ่นพิษไม่เลิก สินค้าสหรัฐ-จีน-อินเดีย จ่อทะลักไทยเพิ่ม
นายประมุข เจิดพงศาธร ประธานกรรมการบริหาร PJUS GROUP และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากที่สินค้าจีนยังได้รับการผ่อนปรนภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐอเมริกาในอัตรา 30% เพื่อแลกกับจีนเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐที่ 10% โดยมีระยะเวลาจนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ที่จะหมดระยะการผ่อนปรน (ก่อนหน้านี้สหรัฐเคยตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 145% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยอัตรา 125%) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องเจรจาเพื่อให้บรรลุข้อตกลงใหม่
ขณะเดียวกันจากที่ล่าสุดสหรัฐได้สรุปผลการเจรจากับอินเดีย โดยประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตราสูงถึง 25% (ลดลงจากเดิมที่อัตรา 27%) ทั้งนี้จากที่สินค้าจีนคาดจะถูกสหรัฐเก็บภาษีในอัตราสูง และอินเดียถูกเก็บภาษีจากสหรัฐที่ 25% จะทำให้สินค้าจากสองประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก จะส่งออกไปสหรัฐได้ลดลง และต้องการที่ระบายสินค้าเพิ่มขึ้น
คาดไทยจะเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เป็นเป้าหมายของสินค้าจากจีน และอินเดียจะทะลักเข้ามาเพิ่มขึ้น นอกจากสินค้าจากสหรัฐที่จะถูกส่งมาจำหน่ายในไทยเพิ่ม หลังบรรลุข้อตกลงภาษีการค้าระหว่างกัน
ทั้งนี้จากอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าทั่วโลกในอัตราที่แตกต่างกัน หรือบางประเทศถูกเก็บในอัตราเดียวกัน แต่ความสามารถในการแข่งขัน และความสามารถในการบริหารต้นทุนสินค้าของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน จะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนของประเทศต่าง ๆ มีความผันผวน และบริหารธุรกิจได้ยากขึ้น
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นในเวลานี้ต่อผู้บริโภคในสหรัฐ จากอัตราภาษีพื้นฐาน (Baseline Tariff) ที่สหรัฐเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากทั่วโลกไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้การบริโภคในสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมาก บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ในสหรัฐมียอดขายหรือผลดำเนินงานลดลงโดยเฉลี่ย 9-13% ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้เป็นต้นมา และมีธุรกิจจำนวนมากที่ต้องให้พนักงานออก มีการควบรวมกิจการ รวมถึงมีการแจ้งล้มละลายตัวเองจำนวนมาก”
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะนำเงินที่เก็บได้จากภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น มาแจกจ่ายให้กับประชาชนชาวอเมริกันอย่างน้อย 600 ดอลลาร์ต่อคน หรือ 2,400 ดอลลาร์สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4 คน หลังจากภาษีตอบโต้ที่จะเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าจากทั่วโลกจะมีผลบังคับใช้ในอัตราใหม่ (ภาษีพื้นฐานและภาษีตอบโต้จะถูกควบรวมเป็นอัตราเดียวกัน) โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป
คาดจะทำให้สหรัฐมีรายได้จากภาษีในส่วนนี้เพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน จากที่ก่อนหน้านี้การเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% ทำให้มีรายได้จากภาษีประมาณ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
“1 สิงหาคมคือเส้นตายที่สหรัฐจะประกาศอัตราภาษีตอบโต้กับทุกประเทศ โดยจะเก็บภาษีในอัตราใหม่ ส่วนภาษีพื้นฐานที่ 10% จะถูกยกเลิกไป ซึ่งในส่วนสินค้าไทยจะถูกเรียกเก็บที่อัตรา 19% อย่างไรก็ดีในส่วนของสินค้าที่ลงเรือต้นทางก่อนวันที่ 7 สิงหาคม และถึงอเมริกาก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ยังมีสิทธิ์เสียภาษีที่ 10% ส่วนสินค้าที่ออกจากไทยไปสหรัฐเริ่ม 7 สิงหาคมจะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราใหม่ที่ 19%”
นายประมุข กล่าวอีกว่า ในส่วนของ PJUS GROUP ซึ่งทำตลาดในหมวดสินค้าอาหารไทยในสหรัฐ และมีแบรนด์ของตัวเอง รวมถึงผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้าที่ติดตลาดแล้ว ไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากนัก โดยสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าตามอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นได้ เห็นได้จากยอดขายของกลุ่มในเดือนกรกฎาคมล่าสุดทำสถิติยอดสูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินการมา