เอกชน ลุ้นไทยยืนแทนที่จีน หาก “ทรัมป์” ดีลภาษีได้ตัวเลข “จบไม่สวย”
วันนี้ (12 ส.ค.68)ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วิเคราะห์ภาพรวมการส่งออก-นำเข้า หลังจากที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 19%
ดร.กิริฎากล่าวว่า ถ้าเทียบดูกับประเทศอื่นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ที่สําคัญคู่แข่งอันดับหนึ่งของไทยในตลาดสหรัฐฯอย่างจีนถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯในอัตรา 30-55% ในปัจจุบันสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ และเชื่อว่าหลังการเจรจาตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯ ภาษีนำเข้าสหรัฐฯของจีนจะยังคงสูงกว่าของไทยอย่างแน่นอน
“ซึ่งในสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงสุด 20 อันดับ มีสินค้าจีนเป็นคู่แข่งถึง 18 รายการ และจีนครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ มากกว่าไทยมาก จึงทำให้ไทยมีโอกาสแข่งขันด้านราคา และช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากจีนมาได้”ดร.กิริฎากล่าว
ดร.กิริฎากล่าวว่า แม้ไทยจะปิดดีลได้ที่ 19% แต่จะต้องไม่ลืมว่ายังมีอีก 40% สําหรับสินค้า Transshipment (สินค้าที่อำพรางแหล่งที่มา หรือการสวมสิทธิส่งออกในนามสินค้าไทย) ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนถึงคำนิยาม และการแบ่งเกณฑ์ของสินค้าประเภทนี้ว่าสหรัฐฯจะกำหนดอย่างไร
เช่น ต้องมี Local Content กี่เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้วัตถุดิบที่นำเข้าจากจีน เพื่อผลิตสินค้าได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะต้องรอให้ทางสหรัฐฯ ประกาศรายละเอียดออกมาอีกครั้ง ทั้งนี้ อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงที่สุดที่จะโดนภาษี 40% จากสินค้า Transshipment เนื่องจากจีนส่งสินค้าผ่านประเทศในภูมิภาคนี้ รวมทั้งมีการซื้อวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตสินค้าจากจีนมากกว่าในภูมิภาคอื่นในโลก
“ภาษีนำเข้าสำหรับไทย 19% ถือว่าแข่งขันพอได้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่จะมีแผนที่จะมาลงทุนในไทย เพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องยอมรับว่าความชัดเจนเรื่อง Transhipment ยังไม่มี ถ้าเราโดนเก็บอีก 40% สินค้าเหล่านั้นก็จะแพงขึ้นมากในตลาดสหรัฐฯ”ดร.กิริฎากล่าว
ทั้งนี้ ภาพรวมการขึ้นภาษีนําเข้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ในโลก รวมถึงการตอบโต้จากจีนว่าจะทำให้การผลิตและการค้าในโลกโตช้าลง เศรษฐกิจโตช้าลง โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเปิด พึ่งพาการนําเข้าส่งออกมากอย่างประเทศไทยจะถูกกระทบมาก ทำให้ในระยะต่อไปการส่งออกของไทยจะโตเพียง 2 – 3% เท่านั้น ขณะที่การนำเข้าของไทยจะมีสินค้านำเข้าเพิ่มมากขึ้น
ดร.กิริฎากล่าวว่า เมื่อการส่งออกโตช้าลง นอกจากจะต้องหาช่องทางช่วงชิงตลาดจากคู่แข่งในสหรัฐฯให้ได้แล้ว แต่ในบางสินค้าไม่สามารถแข่งเรื่องราคาได้เพียงอย่างเดียว เช่น สินค้าในกลุ่มจิวเวอร์รี่ที่ไทยส่งออกมากเป็นอันดับ 7 ของสินค้าไทยที่ส่งไปยังตลาดสหรัฐฯ จะต้องแข่งในเรื่องของดีไซน์และคุณภาพมากขึ้น เพราะกลุ่มผู้ซื้อคือกลุ่มคนมีเงิน ไม่ได้ตัดสินใจซื้อบนเรื่องราคาอย่างเดียว
นอกจากนี้ ไทยจะต้องพยายามหาตลาดส่งออกใหม่ๆ โดยในปีหน้าไทยจะลงนามเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยเข้าตลาดยุโรปได้ง่ายขึ้น และเห็นว่ายังมีโอกาสรุกไปประเทศในตะวันออกกลางมากกว่าปัจจุบัน โดยภูมิภาคนี้มีกำลังซื้อ แต่ยังคงมีความเสี่ยงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อยู่
ขณะเดียวกัน สินค้าไทยยังไม่ค่อยเข้าไปทำตลาดในประเทศในทวีปแอฟริกามากนัก ทั้งที่เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก และมีประชากรที่เป็นชนขั้นกลางขึ้นไปจำนวนมาก ที่ผ่านมาการส่งออกจากไทยส่วนใหญ่ไปที่ประเทศแอฟริกาใต้ ดังนั้นประเทศในแอฟริกาจึงเป็นที่น่าส่งออกสินค้าไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะอาหาร และสินค้าเกษตร
“ซึ่งในการขยายตลาดการส่งออกนั้นภาครัฐจะต้องช่วยในการหาเครือข่ายทางธุรกิจในประเทศต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่เอกชนจะไปเอง หรือรัฐอาจสร้างแรงจูงใจให้เอกชนรายใหญ่ที่มีช่องทางการค้าในประเทศเหล่านั้นพาซัพพลายเออร์ไทยไปด้วย”ดร.กิริฎากล่าว
ดร.กิริฎา กล่าวว่า ไทยอาจจะซื้อสินค้านําเข้ามากขึ้น ด้วยคุณภาพที่ดีและราคาที่ถูกกว่าที่ผลิตในไทย อย่างเช่นเหล็ก ที่ทุกประเทศโดนภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ 50% ทำให้ผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จะต้องหาตลาดเพิ่มในอาเซียน รวมถึงไทย
ซึ่งต้องยอมรับว่าสินค้าเหล็กของประเทศเหล่านี้มีคุณภาพดี สามารถลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการก่อสร้างได้ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าประเภทสิ่งทอ พลาสติก ปิโตรเคมี ที่กลุ่มผู้ผลิตสินค้าไทยจะแข่งขันด้านราคาได้ยาก ในเรื่องนี้จึงมีทั้งฝ่ายที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์
“เหรียญมี 2 ด้าน ด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการ ผู้บริโภคก็จะได้ก็จะได้ซื้อของที่ถูกลง ที่สําคัญไทยจะได้ต่อยอดจากวัตถุดิบ และเครื่องจักรที่ไม่แพง เกิดการปรับตัวต่อยอด เช่น การใช้ไบโอเทคโนโลยีต่อยอดขึ้นไปเป็น โปรตีนทางเลือก โพรไบโอติกส์ เครื่องสำอางค์
ซึ่งเหล่านี้เป็นสินค้าที่สามารถทำกำไรได้สูง และสินค้าไทยมีภาพลักษณ์ที่ดี ตลาดในยุโรปและอเมริกาเลือกที่จะซื้อสินค้าเหล่านี้ของไทยมากกว่าสินค้าจีน เพราะฉะนั้นมองว่าเรายังมีโอกาส ถ้าเราปรับตัว แต่การปรับตัวไม่ง่าย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหรือกลางดังนั้นภาครัฐจะต้องเข้ามาช่วยตรงนี้”ดร.กิริฎา กล่าว