โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เอกชน ลุ้นไทยยืนแทนที่จีน หาก “ทรัมป์” ดีลภาษีได้ตัวเลข “จบไม่สวย”

อีจัน

อัพเดต 12 สิงหาคม 2568 เวลา 23.10 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อีจัน

วันนี้ (12 ส.ค.68)ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วิเคราะห์ภาพรวมการส่งออก-นำเข้า หลังจากที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 19%

ดร.กิริฎากล่าวว่า ถ้าเทียบดูกับประเทศอื่นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ที่สําคัญคู่แข่งอันดับหนึ่งของไทยในตลาดสหรัฐฯอย่างจีนถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯในอัตรา 30-55% ในปัจจุบันสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ และเชื่อว่าหลังการเจรจาตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯ ภาษีนำเข้าสหรัฐฯของจีนจะยังคงสูงกว่าของไทยอย่างแน่นอน

“ซึ่งในสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงสุด 20 อันดับ มีสินค้าจีนเป็นคู่แข่งถึง 18 รายการ และจีนครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ มากกว่าไทยมาก จึงทำให้ไทยมีโอกาสแข่งขันด้านราคา และช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากจีนมาได้”ดร.กิริฎากล่าว

ดร.กิริฎากล่าวว่า แม้ไทยจะปิดดีลได้ที่ 19% แต่จะต้องไม่ลืมว่ายังมีอีก 40% สําหรับสินค้า Transshipment (สินค้าที่อำพรางแหล่งที่มา หรือการสวมสิทธิส่งออกในนามสินค้าไทย) ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนถึงคำนิยาม และการแบ่งเกณฑ์ของสินค้าประเภทนี้ว่าสหรัฐฯจะกำหนดอย่างไร

เช่น ต้องมี Local Content กี่เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้วัตถุดิบที่นำเข้าจากจีน เพื่อผลิตสินค้าได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะต้องรอให้ทางสหรัฐฯ ประกาศรายละเอียดออกมาอีกครั้ง ทั้งนี้ อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงที่สุดที่จะโดนภาษี 40% จากสินค้า Transshipment เนื่องจากจีนส่งสินค้าผ่านประเทศในภูมิภาคนี้ รวมทั้งมีการซื้อวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตสินค้าจากจีนมากกว่าในภูมิภาคอื่นในโลก

“ภาษีนำเข้าสำหรับไทย 19% ถือว่าแข่งขันพอได้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่จะมีแผนที่จะมาลงทุนในไทย เพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องยอมรับว่าความชัดเจนเรื่อง Transhipment ยังไม่มี ถ้าเราโดนเก็บอีก 40% สินค้าเหล่านั้นก็จะแพงขึ้นมากในตลาดสหรัฐฯ”ดร.กิริฎากล่าว

ทั้งนี้ ภาพรวมการขึ้นภาษีนําเข้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ในโลก รวมถึงการตอบโต้จากจีนว่าจะทำให้การผลิตและการค้าในโลกโตช้าลง เศรษฐกิจโตช้าลง โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเปิด พึ่งพาการนําเข้าส่งออกมากอย่างประเทศไทยจะถูกกระทบมาก ทำให้ในระยะต่อไปการส่งออกของไทยจะโตเพียง 2 – 3% เท่านั้น ขณะที่การนำเข้าของไทยจะมีสินค้านำเข้าเพิ่มมากขึ้น

ดร.กิริฎากล่าวว่า เมื่อการส่งออกโตช้าลง นอกจากจะต้องหาช่องทางช่วงชิงตลาดจากคู่แข่งในสหรัฐฯให้ได้แล้ว แต่ในบางสินค้าไม่สามารถแข่งเรื่องราคาได้เพียงอย่างเดียว เช่น สินค้าในกลุ่มจิวเวอร์รี่ที่ไทยส่งออกมากเป็นอันดับ 7 ของสินค้าไทยที่ส่งไปยังตลาดสหรัฐฯ จะต้องแข่งในเรื่องของดีไซน์และคุณภาพมากขึ้น เพราะกลุ่มผู้ซื้อคือกลุ่มคนมีเงิน ไม่ได้ตัดสินใจซื้อบนเรื่องราคาอย่างเดียว

นอกจากนี้ ไทยจะต้องพยายามหาตลาดส่งออกใหม่ๆ โดยในปีหน้าไทยจะลงนามเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยเข้าตลาดยุโรปได้ง่ายขึ้น และเห็นว่ายังมีโอกาสรุกไปประเทศในตะวันออกกลางมากกว่าปัจจุบัน โดยภูมิภาคนี้มีกำลังซื้อ แต่ยังคงมีความเสี่ยงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อยู่

ขณะเดียวกัน สินค้าไทยยังไม่ค่อยเข้าไปทำตลาดในประเทศในทวีปแอฟริกามากนัก ทั้งที่เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก และมีประชากรที่เป็นชนขั้นกลางขึ้นไปจำนวนมาก ที่ผ่านมาการส่งออกจากไทยส่วนใหญ่ไปที่ประเทศแอฟริกาใต้ ดังนั้นประเทศในแอฟริกาจึงเป็นที่น่าส่งออกสินค้าไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะอาหาร และสินค้าเกษตร

“ซึ่งในการขยายตลาดการส่งออกนั้นภาครัฐจะต้องช่วยในการหาเครือข่ายทางธุรกิจในประเทศต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่เอกชนจะไปเอง หรือรัฐอาจสร้างแรงจูงใจให้เอกชนรายใหญ่ที่มีช่องทางการค้าในประเทศเหล่านั้นพาซัพพลายเออร์ไทยไปด้วย”ดร.กิริฎากล่าว

ดร.กิริฎา กล่าวว่า ไทยอาจจะซื้อสินค้านําเข้ามากขึ้น ด้วยคุณภาพที่ดีและราคาที่ถูกกว่าที่ผลิตในไทย อย่างเช่นเหล็ก ที่ทุกประเทศโดนภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ 50% ทำให้ผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จะต้องหาตลาดเพิ่มในอาเซียน รวมถึงไทย

ซึ่งต้องยอมรับว่าสินค้าเหล็กของประเทศเหล่านี้มีคุณภาพดี สามารถลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการก่อสร้างได้ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าประเภทสิ่งทอ พลาสติก ปิโตรเคมี ที่กลุ่มผู้ผลิตสินค้าไทยจะแข่งขันด้านราคาได้ยาก ในเรื่องนี้จึงมีทั้งฝ่ายที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์

“เหรียญมี 2 ด้าน ด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการ ผู้บริโภคก็จะได้ก็จะได้ซื้อของที่ถูกลง ที่สําคัญไทยจะได้ต่อยอดจากวัตถุดิบ และเครื่องจักรที่ไม่แพง เกิดการปรับตัวต่อยอด เช่น การใช้ไบโอเทคโนโลยีต่อยอดขึ้นไปเป็น โปรตีนทางเลือก โพรไบโอติกส์ เครื่องสำอางค์

ซึ่งเหล่านี้เป็นสินค้าที่สามารถทำกำไรได้สูง และสินค้าไทยมีภาพลักษณ์ที่ดี ตลาดในยุโรปและอเมริกาเลือกที่จะซื้อสินค้าเหล่านี้ของไทยมากกว่าสินค้าจีน เพราะฉะนั้นมองว่าเรายังมีโอกาส ถ้าเราปรับตัว แต่การปรับตัวไม่ง่าย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหรือกลางดังนั้นภาครัฐจะต้องเข้ามาช่วยตรงนี้”ดร.กิริฎา กล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก อีจัน

พี สะเดิด แชร์ประสบการณ์ ตรวจพบเป็นมะเร็งเต้านม มีโอกาสเป็นได้1 ในล้านเท่านั้น

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ผู้สูงวัยจีน นั่งตากแอร์ฟาสต์ฟูด แต่ไม่สั่งอะไรกิน

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

เปิดลิสต์แบรนด์นมยอดนิยม แยกทุกประเภท

SMART SME

เที่ยวไทยทะลุ 20 ล้านคน โกยรายได้ 9.3 แสนล้านบาท เช็ก 5 อันดับสูงสุด

ฐานเศรษฐกิจ

ปัจจัยลบพรึบยืดเยื้อ ร้านอาหารในกทม.-ตจว. อาจไม่ไปต่อนับแสนร้าน | คุยกับบัญชา | 29 ก.ค. 68

BTimes

สิ้นมหาเศรษฐีอันดับ 2 แห่งสิงคโปร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตสีแห่งเอเชีย

sanook.com

เปิด “10 แบรนด์แม่” มูลค่ารวม 6 หมื่นล้าน ครองหัวใจผู้บริโภคทั้งไทยและเทศ

ประชาชาติธุรกิจ

AWC เผยกลุ่มโรงแรมสร้างรายได้รวม 2,612 ล้านพร้อมเปิด"Jurassic World"ดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดทั้งวัน

สยามรัฐ

ปศุสัตว์ ย้ำจุดยืนห้ามใช้ สารเร่งเนื้อแดง ทุกขั้นตอนผลิต สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค

Khaosod

ราคาทองวันนี้ “ลง 50 บาท” ปิดตลาดเท่าช่วงเช้า

PPTV HD 36

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทรัมป์ หยุดเก็บภาษีจีน 90 วัน หวังสงบศึกการค้า

อีจัน

ทองลงเบาๆ -50 รับ “ทรัมป์” ไม่เก็บภาษีทองแท่ง

อีจัน

ของมะกันไม่ท่วม “ไทย” เหตุนำเข้าสินค้า “จีน” มากกว่าสหรัฐฯ 4 เท่า

อีจัน
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...