MAJOR กำไร Q2/68 ที่ 124 ลบ. ทรุด 46% เดินเกมรุกจับมือ "เถ้าแก่น้อย" บุกตลาดป๊อปคอร์น
MAJOR กำไร Q2/68 ที่ 124 ลบ. ทรุด 46% เดินเกมรุกจับมือ "เถ้าแก่น้อย" บุกตลาดป๊อปคอร์น
#ทันหุ้น #MAJOR #TKN สรุปประเด็นหลัก (Key Takeaways):
กำไรและรายได้หดตัว: เมเจอร์รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ที่ 124 ล้านบาท ลดลง -46% YoY และมีรายได้รวม 1,940 ล้านบาท ลดลง -5% YoY
ปัจจัยหลักจากธุรกิจภาพยนตร์: สาเหตุสำคัญมาจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในปีก่อน ซึ่งมีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ถล่มทลายอย่าง "หลานม่า" และ "อนงค์" ส่งผลให้รายได้จากตั๋วหนังและป๊อปคอร์นหน้าโรงภาพยนตร์ลดลง
ธุรกิจอื่นยังเติบโต: ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ รวมถึงธุรกิจให้เช่าพื้นที่และบริการ มีรายได้เพิ่มขึ้นสวนทางกับธุรกิจหลัก สะท้อนความสำเร็จในการปรับกลยุทธ์และบริหารพื้นที่
วินัยทางการเงินโดดเด่น: บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดลงถึง -13% YoY ซึ่งช่วยพยุงไม่ให้กำไรสุทธิลดลงไปมากกว่านี้
เกมรุกครั้งสำคัญ: ประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุน "บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด" กับ "เถ้าแก่น้อย" (TKN) ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท (MAJOR ถือหุ้น 49%) เพื่อผลิตและจำหน่ายป๊อปคอร์นแบบซองพร้อมทานทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นการแตกไลน์ธุรกิจครั้งสำคัญ
เจาะลึกผลประกอบการไตรมาส 2/2568
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เผชิญกับไตรมาสที่ท้าทาย โดยผลประกอบการสะท้อนความผันผวนของธุรกิจภาพยนตร์อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและประกาศแผนธุรกิจใหม่ที่น่าจับตามอง เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
ผลประกอบการเผชิญความท้าทาย: หนังฟอร์มยักษ์แผ่วฉุดรายได้
รายได้รวมของ MAJOR ในไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 1,940 ล้านบาท ลดลง -5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลโดยตรงให้กำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง -46% YoY มาอยู่ที่ 124 ล้านบาท
ปัจจัยหลักที่กดดันผลประกอบการคือ ธุรกิจโรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นหัวใจของบริษัท การที่ไตรมาส 2 ของปีก่อนหน้า (ปี 2567) มีภาพยนตร์ไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้ง "หลานม่า" และ "อนงค์" ได้สร้างฐานรายได้ที่สูงมากไว้ เมื่อโปรแกรมภาพยนตร์ในไตรมาสปัจจุบันไม่สามารถสร้างกระแสได้ในระดับเดียวกัน จึงส่งผลให้รายได้จากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์และรายได้จากการจำหน่ายป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ ก็มีรายได้ลดลงเช่นกัน เนื่องจากในปีก่อนมีรายได้เสริมจากการนำภาพยนตร์เรื่อง "ธี่หยด" และ "ของแขก" เข้าฉายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มเติมจากรายได้ในโรงภาพยนตร์
จุดสว่างในพอร์ตและวินัยทางการเงิน
ท่ามกลางความท้าทายของธุรกิจหลัก ยังมีสัญญาณบวกในธุรกิจอื่นของบริษัท โดย ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ และ ธุรกิจพื้นที่เช่าและบริการ มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ ปรับปรุงพื้นที่ให้ทันสมัย และการได้ร้านค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคเข้ามาเสริมทัพ
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดในรายงานผลประกอบการครั้งนี้ คือ การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) เพียง 509 ล้านบาท ลดลงถึง 76 ล้านบาท หรือ -13% YoY โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลงถึง -16% YoY สะท้อนให้เห็นถึงวินัยทางการเงินที่เข้มแข็งและความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคองผลกำไรของบริษัทในไตรมาสนี้
เกมใหม่นอกโรงหนัง: จับมือ 'เถ้าแก่น้อย' ต่อยอดแบรนด์ป๊อปคอร์น
ไฮไลท์สำคัญที่ประกาศออกมาพร้อมกับผลประกอบการ คือมติอนุมัติการเข้าร่วมทุนกับ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เพื่อจัดตั้ง "บริษัท ทีเคเอ็น แอนด์ เมเจอร์ ป๊อปคอร์น จำกัด"วัตถุประสงค์: ผลิตและจำหน่าย "ป๊อปคอร์นแบบซองพร้อมทาน" ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โครงสร้าง: MAJOR ถือหุ้น 49% และ TKN ถือหุ้น 51%
เงินลงทุน: MAJOR จะลงทุนรวม 49 ล้านบาท จากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
ดีลนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญและน่าจับตามองอย่างยิ่ง เป็นการนำสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหนึ่งของเมเจอร์ นั่นคือ "แบรนด์ป๊อปคอร์น" ที่ผู้บริโภคคุ้นเคยและชื่นชอบ ออกมาสร้างมูลค่านอกโรงภาพยนตร์ การจับมือกับ "เถ้าแก่น้อย" ซึ่งเป็นเจ้าแห่งขนมขบเคี้ยวและมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยสร้างทางลัดสู่ความสำเร็จในตลาดค้าปลีก (FMCG) และเป็นการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ (New S-Curve) เพื่อลดความผันผวนจากธุรกิจภาพยนตร์ในระยะยาว
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จะเผชิญกับไตรมาสที่ยากลำบาก โดยมีกำไรสุทธิลดลง 46% จากโปรแกรมภาพยนตร์ที่ไม่อาจเทียบกับความสำเร็จของปีก่อนได้ แต่บริษัทก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวผ่านการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัยและการเติบโตของธุรกิจส่วนอื่น อย่างไรก็ตาม ข่าวที่สำคัญที่สุดคือการประกาศกลยุทธ์เชิงรุกในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ "เถ้าแก่น้อย" เพื่อบุกตลาดป๊อปคอร์นพร้อมทาน ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกมูลค่าแบรนด์ครั้งสำคัญ และเป็นการวางรากฐานการเติบโตแห่งอนาคตที่จะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจหลักและสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทในระยะยาว