คลายข้อสงสัย ทำไมเยอรมนีและญี่ปุ่นถึงรวย แม้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 ด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายเยอรมนีและญี่ปุ่น ซึ่งเยอรมนีประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 8 พฤษภาคม ปี 1945 ส่วนญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นเดียวกัน ในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน หลังจากที่ถูกทิ้งระเบิดปรมาณูใส่สองลูกติด ๆ กัน
หลายคนอาจจะคิดว่าประเทศที่แพ้สงคราม จะต้องเจอกับชะตากรรมที่ยากลำบาก เศรษฐกิจพังทลาย หนี้สินท่วมตัวจากการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้กับประเทศผู้ชนะ ถูกตัดขาดจากสังคมโลก แต่กลับกลายเป็นว่าหลังจากพ่ายแพ้สงครามโลก เยอรมนีกับญี่ปุ่นก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้จนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวย มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีพันธมิตรมากมาย มีหน้ามีตาในประชาคมโลก ทำไมจึงกลายเป็นเช่นนั้น
เยอรมนีและญี่ปุ่นต่างเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในหลาย ๆ ด้านอยู่แล้ว ก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหากย้อนกลับไปในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ในตอนนั้น ชาวเยอรมันต้องใช้ชีวิตด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ถูกประชาคมโลกดูหมิ่นเหยียดหยามในฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม ต้องลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนยากจน ต้องใช้ชีวิตกันแบบไร้ความหวัง ไร้อนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความความเคียดแค้นในใจของชาวเยอรมัน ที่ต้องการจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเอง ซึ่งก็นำไปสู่การสนับสนุนพรรคนาซี ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดที่สัญญาว่าจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวเยอรมัน ด้วยการยุติการจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ฟื้นฟูกองทัพเยอรมันให้แข็งแกร่ง และก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงไปเพียง 21 ปีเท่านั้น
เมื่อเยอรมนีและญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศผู้ชนะอย่างสหรัฐฯ และชาติฝ่ายสัมพันธมิตรจึงเรียนรู้ว่าหากปล่อยให้ประเทศผู้แพ้สงคราม ต้องเจอกับชะตากรรมที่ยากลำบาก มีแต่จะสร้างความเกลียดชังและความเคียดแค้นต่อประเทศผู้ชนะ และเมื่อผู้แพ้ถูกบีบและถูกกดดันทุกทางจนไม่มีทางออกก็จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงเพื่อระบายความแค้นที่มีอยู่ออกมา จนกลายเป็นสงครามครั้งใหม่ที่ไม่รู้จักจบสิ้น
ดังนั้น แทนที่ประเทศผู้ชนะสงครามจะบีบให้ประเทศผู้แพ้สงครามต้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง หรือทำให้ประเทศผู้แพ้สงครามต้องอับอาย จึงเปลี่ยนเป็นการหันมาให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูประเทศ เข้าไปช่วยประเทศที่แพ้สงครามซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากสงคราม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับคนในประเทศ ปรับโครงสร้างทางการเมืองเพื่อไม่ให้ประเทศนั้นหวนคืนสู่เส้นทางแห่งสงครามอีก
หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง สหรัฐฯ ทุ่มเงินมากถึง 13.2 พันล้านดอลลาร์ ตามแผนการที่เรียกว่ามาร์แชล เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตก และยุโรป ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เป็นระบบตลาดเสรี และป้องกันไม่ให้มีการผูกขาดทางการค้า จนทำให้เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 1950-1963 ซึ่งช่วงเวลานี้ถูกเรียกว่า Wirtschaftwunder หรือปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ โดยนอกจากการได้รับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ แล้ว เยอรมนียังปฏิรูประบบศึกษา พัฒนาการเมืองให้ตัดขาดจากการทหารโดยสิ้นเชิง เน้นความโปร่งใสและการกระจายอำนาจสู่รัฐบาลท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจของเยอรมนีฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯ เข้าไปช่วยฟื้นฟูโครงสร้างทางการเมือง และฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น โดยกองทัพของญี่ปุ่นถูกลดบทบาทลงให้กลายเป็นแค่กองกำลังป้องกันตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่าญี่ปุ่นจะไม่สะสมกำลังทหารเพื่อก่อสงครามอีกในอนาคต แต่ได้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาช่วยดูแลและรับประกันด้านความมั่นคงให้กับญี่ปุ่น กำจัดลัทธิทหาร เสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้แข็งแกร่ง สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือญี่ปุ่นมากถึง 1,900 ล้านดอลลาร์ และหลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามเพียงไม่กี่ปี ผลผลิตในอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นก็ฟื้นฟูกลับมาเทียบเท่าช่วงก่อนสงคราม และด้วยการสนับสนุนจากอเมริกา ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งผลผลิต รายได้ การจ้างงาน
ญี่ปุ่นยังลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยี การศึกษา และการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการทำงานหนัก ทำให้บริษัทของญี่ปุ่นสามารถผลิตสินค้าที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูง จนสินค้าจากประเทศอื่นสู้ไม่ได้ ทำให้สินค้าจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ขายดีทั่วโลก จนญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีชั้นนำของโลกภายในเวลาแค่ไม่กี่สิบปี
จะเห็นได้ว่าการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลก ไม่ใช่การเผชิญหน้ากันหรือกดดันจนอีกฝ่ายไม่มีทางออก เพราะเมื่อประเทศใด ประเทศหนึ่งถูกบีบให้จนตรอก ก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการใช้ความรุนแรง แต่วิธีป้องกันการเกิดสงครามที่ดีที่สุดคือการเพิ่มความร่วมมือ การให้ความช่วยเหลือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสันติภาพนั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสงครามเสมอ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "ญี่ปุ่น" เล็งขยายลงทุนใน "อินเดีย" 10 ล้านล้านเยน หนุนเศรษฐกิจเสรี "อินโด-แปซิฟิก"
- ชายชราญี่ปุ่นที่ตอนแรกเชื่อว่าถูกหมีทำร้ายเสียชีวิต กลายเป็นถูกลูกชายใช้มีดแทง
- ทรัมป์ไม่พอใจพิพิธภัณฑ์ในสหรัฐฯ จัดแสดงแต่เรื่องค้าทาส
- ครั้งแรกของ "ญี่ปุ่น" เล็งออก "สเตเบิลคอยน์" คาด 1 ล้านล้านเยน ภายใน 3 ปี
- "ญี่ปุ่น" เปิดใช้โรงไฟฟ้าแบบออสโมติก