เผลอทำอยู่หรือเปล่า? หากเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าบ่อยๆ อย่าลืมปิดฟีเจอร์เหล่านี้
คุณเคยเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าแล้วเจอว่า หน้าจอสว่างเอง กดโดนโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือเครื่องร้อนผิดปกติ ไหม? สาเหตุอาจมาจาก ฟีเจอร์ที่เปิดใช้งานอยู่โดยคุณไม่รู้ตัว
การเก็บโทรศัพท์ไว้ใน กระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อ หรือกระเป๋าเป้ เป็นเรื่องปกติของผู้ใช้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ สะดวกและเรียบร้อย แต่คุณอาจไม่รู้ว่า นิสัยนี้อาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว โทรออกเอง หรือแม้แต่เสี่ยงต่อความเสียหาย หากฟีเจอร์อัจฉริยะบางอย่างยังเปิดใช้งานอยู่
แล้วฟีเจอร์เหล่านี้คืออะไร?
สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ติดตั้งฟังก์ชันอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้ใช้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น เช่น
Tap to Wake (แตะเพื่อปลุกหน้าจอ) : เพียงแตะหน้าจอเบา ๆ โทรศัพท์ก็จะสว่างขึ้นเพื่อดูการแจ้งเตือน เวลา หรือปลดล็อก
Always-On Display (หน้าจอเปิดตลอดเวลา) : แสดงข้อมูลพื้นฐาน เช่น เวลา วันที่ หรือแจ้งเตือน แม้โทรศัพท์จะล็อกอยู่
ทำไมควรปิดฟีเจอร์เหล่านี้เมื่อเก็บโทรศัพท์ในกระเป๋า?
เมื่อสมาร์ทโฟนอยู่ในกระเป๋า แรงเสียดสีจากเสื้อผ้าหรือสิ่งของรอบ ๆ อาจทำให้หน้าจอสว่างขึ้นและตอบสนองการสัมผัสเหมือนผู้ใช้กำลังใช้งานจริง สิ่งนี้อาจก่อปัญหาหลายด้าน เช่น โทรศัพท์เปิดแอปเอง โทรออกเอง โดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว ทำให้เสียค่าใช้จ่ายและข้อมูล
นอกจากนี้ การที่หน้าจอสว่างขึ้นบ่อย ๆ ยังทำให้ แบตเตอรี่หมดเร็ว และลดอายุการใช้งานของชิ้นส่วน โดยเฉพาะ หน้าจอสัมผัสที่ไวต่อการสั่งงาน หากโทรศัพท์ไม่ได้ล็อกด้วยรหัสหรือระบบรักษาความปลอดภัย การสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจอาจเข้าถึง ข้อมูลส่วนตัว เสี่ยงต่อการรั่วไหล
ยิ่งไปกว่านั้น หากโทรศัพท์อยู่ใน พื้นที่แคบและยังทำงานต่อเนื่อง ความร้อนสูงอาจทำให้เครื่องร้อนผิดปกติ ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพและความทนทานของอุปกรณ์ และอาจทำให้ ชิ้นส่วนภายในเสียหาย
เพื่อป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ใช้ควร ปรับตั้งค่าฟีเจอร์บนโทรศัพท์อย่างเหมาะสม
1. ปิดฟีเจอร์ที่อาจทำงานโดยไม่ตั้งใจ
เข้าไปที่ การตั้งค่า > จอแสดงผล (Display) บนโทรศัพท์
บน iPhone : ค้นหาเมนู “Tap to Wake” (แตะเพื่อปลุกหน้าจอ) แล้วสลับเป็น ปิด
บน Android : ปิด “Lift to Wake” (ยกเพื่อปลุกหน้าจอ) และ “Always-On Display” (หน้าจอเปิดตลอดเวลา) หากมี
การตั้งค่านี้จะช่วย ป้องกันหน้าจอสว่างขึ้นหรือทำงานโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมีแรงเสียดสีภายในกระเป๋า
2. ปิดแอปที่ทำงานเบื้องหลัง
แอปที่ทำงานอยู่เบื้องหลังไม่เพียงแต่ กินทรัพยากรเครื่อง แต่ยังทำให้โทรศัพท์ ช้าลง ก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ควรทำดังนี้:
กดปุ่ม มัลติทาสก์ (มักเป็นสัญลักษณ์รูปสี่เหลี่ยมที่มุมล่างของหน้าจอ)
ปัดเพื่อ ปิดแอปทีละตัว หรือกด ปิดทั้งหมด เพื่อ ปลดล็อก RAM
การทำเช่นนี้จะช่วยให้โทรศัพท์ ทำงานลื่นไหลขึ้น และ ประหยัดแบตเตอรี่ อย่างเห็นได้ชัด
3. เปิดโหมดเก็บในกระเป๋า (Pocket Mode)
สมาร์ทโฟน บางรุ่นของ Android มีฟีเจอร์นี้ให้ใช้งาน
เข้าไปที่ การตั้งค่า > จอแสดงผล > Pocket Mode
เปิดใช้งานฟีเจอร์
เมื่อเปิดใช้งาน Pocket Mode โทรศัพท์จะ ล็อกหน้าจออัตโนมัติ เมื่อตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับว่าเครื่องอยู่ใน กระเป๋ากางเกงหรือกระเป๋าสะพาย ช่วยป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ
4. ตั้งค่าการล็อกหน้าจออย่างปลอดภัย
แม้ว่าจะปิดฟีเจอร์ทั้งหมดแล้ว แต่ ความปลอดภัยของอุปกรณ์ยังสำคัญ
เข้าไปที่ การตั้งค่า > ความปลอดภัย (Security)
เลือกวิธีล็อกหน้าจอ เช่น รหัสผ่าน, ลายนิ้วมือ หรือสแกนใบหน้า
วิธีนี้จะช่วยให้ ข้อมูลในโทรศัพท์ปลอดภัย แม้หน้าจอจะถูกเปิดโดยไม่ตั้งใจ
5. เก็บโทรศัพท์อย่างถูกวิธี
หลีกเลี่ยงการเก็บในกระเป๋าที่แน่นเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดแรงกดและการกระแทกซ้ำ ๆ
หลีกเลี่ยงการวางโทรศัพท์ในที่ร้อน เช่น กระโปรงท้ายรถ หรือกระเป๋ากางเกงในวันที่อากาศร้อน เพราะความร้อนสูงอาจทำให้ แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว และ ชิ้นส่วนภายในเสียหาย
ข้อควรระวังเมื่อเก็บโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง
หันหน้าจอเข้าด้านใน
เมื่อวางโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ควร หันหน้าจอเข้าด้านใน แทนที่จะหันออกด้านนอก วิธีนี้จะช่วย ลดความเสี่ยงหน้าจอเป็นรอยหรือแตก จากการกระแทกขณะเคลื่อนที่
นอกจากนี้ เนื่องจาก แบตเตอรี่มักอยู่ด้านหลังของโทรศัพท์ การหันหน้าจอเข้าด้านในยังช่วย กระจายความร้อนและระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น
คว่ำพอร์ตชาร์จขึ้นด้านบน
นิสัยที่หลายคนมักทำคือ วางโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงโดยพอร์ตชาร์จหันลงด้านล่าง ซึ่งอาจทำให้ ฝุ่นหรือเส้นใยผ้าเข้าไปในลำโพงหรือพอร์ตชาร์จ ส่งผลต่อ คุณภาพเสียงและการชาร์จแบตเตอรี่
เพื่อปกป้องอุปกรณ์ ควรให้ พอร์ตชาร์จหันขึ้นด้านบน ก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า