ชัวร์ก่อนแชร์ : แว่นตาแก้เมารถ ลดการเมารถได้ จริงหรือ ?
บทความนี้เรียบเรียงโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI)โดยมีเนื้อหาหลักจากคลิปวิดีโอ
4 สิงหาคม 2568
ตามที่มีการแชร์แนะนำเครื่องมือใหม่ในการแก้ปัญหาคนเมารถ โดยให้ใส่แว่นตาแก้เมารถ จะช่วยปรับสมดุลการเคลื่อนไหวของสายตา และแก้ปัญหาการเมารถได้นั้น
บทสรุป : แชร์ได้ อธิบายเพิ่ม
ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
(สัมภาษณ์เมื่อ 2 กรกฎาคม 2568)
“แว่นตาแก้เมารถ” ไอเทมสุดล้ำที่อ้างว่าสยบอาการเวียนหัว ได้ผลจริงหรือ ?
อาการเมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบิน เป็นปัญหาที่สร้างความทรมานและบั่นทอนความสุขในการเดินทางของใครหลายคน ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คิดค้น “แว่นตาแก้เมารถ” ขึ้นมา โดยอ้างว่าเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่แว่นตานี้ทำงานอย่างไร และได้ผลจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ? บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ
“แว่นตาแก้เมารถ” คืออะไร และทำงานอย่างไร ?
แว่นตาแก้เมารถถูกออกแบบมาด้วยแนวคิดที่ต้องการปรับการรับรู้ของสายตาให้สอดคล้องกับการทรงตัวของหูชั้นใน ลักษณะเด่นของแว่นตาชนิดนี้คือมีของเหลวบรรจุอยู่บริเวณขอบแว่น ซึ่งจะเคลื่อนไหวไปมาตามการเคลื่อนที่ของรถ ทฤษฎีเบื้องหลังคือ การให้สายตาได้มองเห็นการเคลื่อนไหวของของเหลวนี้ จะช่วยสร้างภาพที่สอดคล้องกับการรับรู้การเคลื่อนไหวของหูชั้นใน ซึ่งเป็นอวัยวะที่ควบคุมการทรงตัว ทำให้สมองไม่เกิดความสับสนและช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะลงได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมายืนยันว่าแว่นตาแก้เมารถสามารถช่วยแก้ปัญหาอาการเมารถได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การแชร์ข้อมูลที่อ้างถึงสรรพคุณของแว่นตานี้จึงควรทำด้วยความระมัดระวัง
ทำไมเราถึง “เมารถ”?
อาการเมารถเกิดจากความไม่สัมพันธ์กันของข้อมูลที่สมองได้รับจากสองส่วนหลัก คือ สายตา และ หูชั้นใน ขณะที่รถเคลื่อนที่ หูชั้นในจะรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว แต่หากสายตาของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่นิ่ง ๆ ภายในรถ เช่น การอ่านหนังสือ หรือการใช้โทรศัพท์มือถือ สมองจะได้รับข้อมูลที่ขัดแย้งกัน (หูบอกว่าเคลื่อนที่ แต่ตาบอกว่าอยู่นิ่ง) ความสับสนนี้เองที่กระตุ้นให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่ออาการเมารถได้ เช่น
- ปัญหาสายตา : ผู้ที่มีสายตาเอียงอาจมีการรับภาพที่บิดเบี้ยว ทำให้สมองสับสนได้ง่ายขึ้น
- ปัจจัยส่วนบุคคล : การทำงานของหูชั้นใน, สุขภาพโดยรวม, อายุ (เด็กมีแนวโน้มเมารถง่ายกว่า) และความคุ้นเคยกับการเดินทาง ล้วนมีผลต่อความรุนแรงของอาการ
- สภาพร่างกาย : ความเหนื่อยล้า, การเจ็บป่วย หรือการอยู่ในช่วงพักฟื้น ก็ทำให้อ่อนไหวต่ออาการเมารถได้มากขึ้น
เคล็ดลับป้องกันอาการเมารถที่ได้ผล
แม้ว่าแว่นตาแก้เมารถจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ก็มีวิธีอื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับและสามารถช่วยป้องกันหรือบรรเทาอาการเมารถได้เป็นอย่างดี
- เลือกตำแหน่งที่นั่ง : ควรเลือกนั่งในตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เช่น ที่นั่งคนขับ หรือที่นั่งข้างคนขับบริเวณด้านหน้า
- ปรับโฟกัสของสายตา : พยายามมองตรงไปข้างหน้าไกล ๆ หรือมองเส้นขอบฟ้าผ่านกระจกหน้ารถ เพื่อให้สายตาได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับหูชั้นใน
- ใส่ใจเรื่องอาหาร : หลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อหนักหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนและระหว่างการเดินทาง
- ใช้ยาช่วย : หากรู้ตัวว่าเป็นคนเมารถง่าย ควรกินยาแก้เมารถก่อนออกเดินทางประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
- หลับตาพัก : การหลับตาจะช่วยตัดการรับภาพที่ขัดแย้งออกไป ทำให้สมองได้รับข้อมูลจากหูชั้นในเพียงอย่างเดียว ซึ่งช่วยลดอาการสับสนได้ การนอนหลับไปเลยก็จะช่วยให้ทั้งหูและตาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
โดยสรุป อาการเมารถเป็นผลมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน การเลือกใช้วิธีป้องกันที่เหมาะสมกับตนเองจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การเดินทางของคุณราบรื่นและมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : พีรพล อนุตรโสตถิ์
ตรวจสอบบทความโดย : ชยานิษฐ์ ผ่องใส