"จุลพันธ์" ยืนยัน มีงบรองรับ"ภาวะวิกฤต" มั่นใจ รับมือ "ภาษีทรัมป์" ไหว
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระ 2 และ 3 เป็นวันแรก โดยในการพิจารณามาตรา 4 ว่าด้วยภาพรวมของงบประมาณรายจ่าย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2569 ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงข้อเสนอแนะของสมาชิก
นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า กรรมาธิการเสียงข้างมากไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยงจากผลกระทบ ทั้งจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ข้อสรุปว่าประเทศไทยจัดเก็บที่ 19% ไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยง แต่กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า เรามีศักยภาพเพียงพอในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ที่เพียงพอ เชื่อว่าสามารถบริหารได้ลุล่วง ไม่กระทบใดๆ
นายจุลพันธ์กล่าวต่อไปว่า การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน หากปรับลดลงกลับจะเป็นผลร้ายกับระบบเศรษฐกิจ เพราะจะสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในภาคเอกชนและการลงทุน จึงยืนยันว่า เม็ดเงินที่ตั้งเอาไว้เป็นสิ่งสำคัญ
นายจุลพันธ์ ยังยืนยันว่า เรามีกระสุนเพียงพอ ทั้งเงินคงคลัง เงินทดรองราชการ และการจัดทำ พ.ร.บ. การโอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขงบประมาณ มีมากเพียงพอที่จะดำเนินการแก้ไขประเทศและทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ มั่นใจว่า การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2569 นี้ มีความชอบและสอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
สำหรับประเด็นการเพิ่มพื้นที่การคลัง นายจุลพันธ์กล่าวว่า ภาครัฐมีแนวทางเสริมความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ ในปี 2569 มีการลดลงของรายจ่ายประจำประมาณ 25,794 ล้านบาทเศษ คิดเป็น 1% ถือเป็นความสำเร็จ และรัฐบาลจำเป็นต้องตั้งงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยมีวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลในแต่ละปี สะท้อนความจริงใจว่ารัฐบาลพยายามชดเชยการขาดดุลอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ส่วนการชดเชยให้ประชาชน นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า ยังอยู่ในสายตาของรัฐบาลที่จะดำเนินการอย่างจริงจัง เช่น เงินช่วยเหลือเกษตรกรไร่อ้อยเก็บเกี่ยว ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรียบร้อย จะดำเนินการผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในเร็ววัน ส่วนการชดเชยการปลูกข้าวไร่ละพันนั้น วันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ซึ่งหวังว่าจะได้ยินข่าวที่เป็นบวกต่อพี่น้องชาวนาต่อไป