โอกาสบนความท้าทาย : เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย
เมื่อก้าวเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย ผู้ประกอบการในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต กระบี่ พังงา และเชียงใหม่ ต่างกำลังจับตามองทุกปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกทั้งในด้านของตัวเลขการเติบโต มุมมองของผู้ประกอบการ และการประเมินปัจจัยความเสี่ยงจากภายนอก เพื่อให้เห็นภาพรวมของโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า
ตัวเลขที่บอกเล่าเรื่องราวการฟื้นตัว: จากปริมาณสู่คุณภาพ
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (1 มกราคม - 31 กรกฎาคม) เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการฟื้นตัว โดยประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสม 19.29 ล้านคน สร้างรายได้รวม 8.95 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้สอดคล้องกับรายงานจากแหล่งข้อมูลอื่นที่ระบุว่าในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม - มิถุนายน) มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 16 ล้านคน และสร้างรายได้ 7.436 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง เมื่อพิจารณาจากเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ถึง 40 ล้านคน และสร้างรายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาทในปีนี้ จะเห็นได้ว่าภารกิจในช่วงที่เหลือของปีคือการเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เพื่อเติมเต็มส่วนที่ยังขาดอยู่
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยว คือการเติบโตของรายได้ที่แซงหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวในบางช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น ในไตรมาสแรกของปี 2568 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเพียง 2% แต่รายได้จากการท่องเที่ยวกลับเพิ่มขึ้นถึง 10% ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญจากยุคของการท่องเที่ยวเชิงปริมาณไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ โดยประเทศไทยกำลังดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของตลาดนักท่องเที่ยวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจับตามอง ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนจะยังคงเป็นอันดับหนึ่งในภาพรวม แต่ก็พบว่าในไตรมาสที่ 1 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงถึง 24%
จากความกังวลด้านความปลอดภัย แต่ในทางกลับกัน ตลาดดาวรุ่งอย่างอินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป กลับเติบโตอย่างโดดเด่นและกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้น นักท่องเที่ยวจากอินเดียและรัสเซียมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายสูงและพำนักนานขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของภาครัฐที่ต้องการยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค
มุมมองจากผู้ประกอบการ: ความเชื่อมั่นในศักยภาพของพื้นที่
กลุ่มจังหวัดอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ พังงา): ผู้ประกอบการในพื้นที่นี้มีความเชื่อมั่นอย่างสูงว่าไตรมาสสุดท้ายของปีจะเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในตลาดระดับบน สำหรับ กระบี่ การเติบโตถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญจากการเปิดใช้งานสนามบินนานาชาติอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งเพิ่มจำนวนเที่ยวบินตรงจากยุโรป ตะวันออกกลาง และอินเดีย ทำให้ผู้ประกอบการตั้งเป้ารายได้ไว้สูงถึง 100,000 ล้านบาท และบางแหล่งข่าวประเมินไว้สูงถึง 150,000 ล้านบาท ในส่วนของ
พังงา ได้วางกลยุทธ์เชิงรุกโดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อดึงดูดตลาดนักท่องเที่ยวยุโรป และตั้งเป้ารายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 80,000 ล้านบาท ขณะที่
ภูเก็ต มีสัญญาณเชิงบวกจากผลประกอบการที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ในไตรมาสแรกของปี 2568 เติบโตขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงโรงแรมและเพิ่มอัตราค่าห้องพัก แต่ก็ยังมีความระมัดระวังในการตัดสินใจของนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย
เชียงใหม่: โอกาสที่ถูกสั่นคลอนจากข่าวเชิงลบ: สำหรับเชียงใหม่ การฟื้นตัวในช่วงไฮซีซั่นได้รับแรงหนุนจากตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการทำงานพร้อมท่องเที่ยว (Workation) แต่กลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่คาดไม่ถึงจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งแม้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกล แต่กลับสร้างผลกระทบโดยตรงต่อเชียงใหม่ โดยสมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการยกเลิกการจองห้องพักมากกว่า 5,000 ห้องทั่วประเทศ โดยเชียงใหม่และกรุงเทพฯ เป็นสองพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงภายนอก: วิกฤตที่บรรเทาและวิกฤตที่ลุกลาม
ภาษีโดนัลด์ ทรัมป์: นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยสูงถึง 36% ได้สร้างความกังวลให้แก่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลก เนื่องจากอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและกระทบต่อกำลังซื้อของนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้เจรจาจนสามารถลดอัตราภาษีตอบโต้ลงเหลือ 19% พร้อมทั้งเตรียมมาตรการเยียวยาภาคธุรกิจด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) 200,000 ล้านบาท และจัดสรรงบประมาณ 25,000 ล้านบาทสำหรับปีงบประมาณ 2569 เพื่อรับมือกับผลกระทบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ภัยคุกคามระยะสั้นจะถูกจำกัดวง แต่ความท้าทายในระยะยาวจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวยังคงต้องเฝ้าระวัง
ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา: สถานการณ์ความขัดแย้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่โดยรอบ โดยสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 3,000 ล้านบาทต่อเดือน และมีการยกเลิกห้องพักมากกว่า 5,000 ห้องใน 7 จังหวัดชายแดน แต่ผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดคือการส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของประเทศในวงกว้าง ข้อมูลจากสมาคมโรงแรมไทยระบุอย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการยกเลิกการจองในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าข่าวเชิงลบที่เกิดขึ้นในพื้นที่หนึ่งสามารถสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศโดยรวมได้ทั้งหมด
การนำทางสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ทิศทางการท่องเที่ยวไทยในช่วงไฮซีซั่นปลายปี 2568 จึงเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย ผู้ประกอบการในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักต่างมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง แต่ก็ต้องเฝ้าระวังปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งหมด การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางกลยุทธ์เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว สร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และบริหารจัดการความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และก้าวไปสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกได้อย่างยั่งยืน