เกษียณ 45+ หางานใหม่ไหวไหม? ฮาวทูวัยกลางคนอยู่รอดในโลกยุคใหม่
ในที่สุดข่าวใหญ่ที่เขย่าวงการพนักงานประจำก็เกิดขึ้น เมื่อ KBank ยักษ์ใหญ่ธนาคารในไทยประกาศโครงการเออร์ลี่รีไทร์ (Early Retire) ปี 2568 “เกษียณก่อน เกษมสุข” สำหรับพนักงานที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป โดยมอบสิทธิประโยชน์เป็นค่าชดเชยตามอายุงาน บวกกับเงินช่วยเหลือพิเศษอีก 8-12 เดือน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม - 7 ตุลาคม 2568 โดยผู้ที่ได้รับการอนุมัติจะถือเป็นการลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ เปิดโอกาสให้พนักงานอายุ 45 ปี แต่ไม่ถึง 60 ปีเข้าร่วมได้ โดยไม่จำกัดอายุงาน
หลังจากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปไม่นาน ก็เกิดกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ ชาวเน็ตต่างหยิบยกประเด็นนี้มาถกเถียงกันในทำนองที่ว่า อายุ 45+ น้อยเกินไปหรือเปล่าสำหรับการเข้าโครงการ Early Retire เพราะที่ผ่านมาบริษัทส่วนใหญ่มักจะเปิดโครงการลักษณะนี้ให้แก่พนักงานที่มีอายุราวๆ 50-55 ปี มากกว่า ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้วัยทำงานหลายคนต่างรู้สึกช็อกไปตามๆ กัน
ไม่เพียงเท่านั้น กูรูหลายคนยังสะท้อนความเห็นต่อประเด็นนี้ด้วยว่า นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกการทำงาน ขนาดองค์กรใหญ่ยังเกิดโครงการให้สมัครใจลาออกให้แก่พนักงานที่อายุน้อยลงแบบนี้ อีกไม่นานอาจบริษัทใหญ่แห่งอื่นๆ ทำสิ่งเดียวกันนี้ตามมาติดๆ
“เกษียณ 45+” คือการทลายกรอบเดิมๆ ของโลกการทำงาน
หนึ่งในกูรูนักการเงินนักการตลาดอย่าง "ธนา เธียรอัจฉริยะ" ซึ่งเป็นเจ้าของเพจ "เขียนไว้ให้เธอ" ได้ออกมาให้ความเห็นต่อสถานการณ์นี้เช่นกัน โดยเขาชี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการทลายกรอบโลกการทำงานเดิม ที่ว่า "เราจะทำงานจนเกษียณหกสิบ" ไปอย่างชัดเจน และมั่นใจว่าตัวเลข 45 ปี จะกลายเป็นตัวเลขใหม่ที่เหล่าวัยทำงานยุคนี้จะเห็นจากบริษัทและธนาคารอื่นๆ ตามมาอีกมาก
โดยปกติแล้วโปรแกรมเกษียณก่อนกำหนดมักจะเริ่มที่ 55-50 ปี แต่ตัวเลข 45 ปีนี้สร้างผลกระทบทางใจมากกว่า เพราะอาจทำให้รู้สึกว่าวัย 45 ปียังเป็นเพียงครึ่งทางของการทำงาน ยังไม่แก่เกินไปเสียหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วในวันนี้!
ทั้งนี้ เขาอธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มีรากฐานมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
1. เทคโนโลยี และ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ: โลกที่เทคโนโลยีและ AI ผสมผสานกับการที่เศรษฐกิจซบเซา ทำให้ 45 ปีกลายเป็นวัยที่ดูเหมือนอยู่ปลายๆ ของการทำงาน
2. ต้นทุนและประสิทธิภาพ: เด็กใหม่ๆ มีต้นทุนถูกกว่า เร็วกว่า รู้เรื่องเทคโนโลยีมากกว่า และใช้ AI ได้คล่องกว่า
3. AI แทนที่งานเดิม: AI เข้ามาแทนงานดั้งเดิมที่เคยต้องใช้เวลาฝึกฝน และจดจำทักษะ ซึ่งตอนนี้ AI เริ่มทดแทนงานบางอย่างแล้ว
4. การลดต้นทุนของบริษัท: เพื่อความอยู่รอดและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทจำเป็นต้องลดต้นทุนด้วยการปรับลดพนักงานที่มีอายุมาก และพยายามหาคนที่คล่องเรื่องเทคและ AI เข้ามาแทนที่
ในประเทศจีน เริ่มเห็นแนวโน้มที่รุนแรงกว่านี้ในวงการเทค โดยหลายคนมีอายุงานสั้นเพียง 35 ปี และหน่วยงานราชการจีนก็จำกัดอายุผู้สมัครงานด้านเทคไว้ที่ไม่เกิน 35 ปี ผู้ที่ถูกบีบออกจากงานในวัยนี้ มักหางานใหม่ยาก จนต้องไปทำงานในสายงานส่งของ ส่งอาหาร หรือขับรถรับจ้าง นี่คือเรื่องปกติของการเปลี่ยนแปลงในองค์กรโลกยุคใหม่ที่หาก AI แทนที่ได้ก็เอามาแทน หรือหากคนรุ่นใหม่เก่งกว่า ถูกกว่า ก็เอามาแทน
ข่าวการเกษียณที่อายุ 45 ปีนี้ กำลังสั่นสะเทือนชนชั้นกลางอย่างแท้จริง มาตรฐานใหม่นี้เข้ามาแทนที่มาตรฐานเดิมของการสิ้นสุดอายุการทำงานที่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่อายุงานกลับสั้นลง หากวัยทำงานจำเป็นต้องสมัครใจลาออก หรือยอมตกงานในวัย 45 ปีขึ้นไป ก็คงยากที่จะหางานใหม่ และอาจจะยังช็อกอยู่
อย่าเพิ่งท้อใจ! หนทางไปต่อในโลกการทำงานยุคใหม่ยังมี
แม้สถานการณ์จะดูท้าทาย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานมีคำแนะนำว่า หากไม่ยอมแพ้ ยังมีหนทางให้ไปต่อได้ โดยเริ่มจากการอัปสกิลให้ตนเอง และหากเรียกสติกลับมาได้เร็ว ก็ยังพร้อมที่จะไปต่อได้เสมอ โดยสิ่งที่ควรทำเพื่อให้ได้งานใหม่เมื่อ “ตกงานตอนอายุ 45+” มีดังนี้
1. รีเฟรชเรซูเม่และโปรไฟล์ออนไลน์: ปรับปรุงเรซูเม่และ LinkedIn ให้ทันสมัย เน้นทักษะที่จำเป็น และเน้น “ทักษะถ่ายทอดได้ (Transferable Skills)” หากเปลี่ยนสายงาน. ควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยอายุหรือปีที่จบการศึกษาโดยตรง.
2. ใช้ “เครือข่าย” ให้เต็มที่: ติดต่อนายจ้างเดิม เพื่อนร่วมงานเก่า แจ้งข่าวการหางาน และใช้แพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn รวมถึงเข้าร่วมกิจกรรม Networking สมาคมอาชีพ หรือกลุ่มสนับสนุน.
3. อัปเดตและเรียนรู้ทักษะใหม่: ลงคอร์สออนไลน์ ฝึกอบรมกับหน่วยงานรัฐ หรือทดลองทำงานสัญญาจ้างสั้นๆ (temp, freelance, consulting) เพื่อเสริมประสบการณ์ในสายงานใหม่. อาจพิจารณาต่อปริญญาหรือใบประกาศนียบัตรหากจำเป็น.
4. มองหางาน/ตำแหน่งที่เปิดกว้างสำหรับวัยกลางคน: ค้นหางานจากเว็บไซต์หรือองค์กรที่สนับสนุนแรงงานวัยกลางคน และไม่ปฏิเสธงานระดับเริ่มต้น งานโครงการ หรืองานฟรีแลนซ์.
5. นำเสนอ “วัย” และ “ประสบการณ์” เป็นจุดเด่น: เน้นจุดแข็งด้านความรอบรู้ ความรับผิดชอบ ทักษะการสื่อสาร การแก้ปัญหาซับซ้อน และภาวะผู้นำ.
6. สร้างทัศนคติบวก และกล้าปรับตัว: อย่ายึดติดอดีตหรือตำแหน่งเดิม เปิดใจรับสายงานและตำแหน่งที่แตกต่าง เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต.
ทักษะสำคัญที่คนอายุ 45+ ต้องอัปสกิล
อย่างที่บอกไปว่า การอัปสกิลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้หางานใหม่ได้ ในโลกการทำงานยุคใหม่ ทั้งนี้ คนวัยทำงานในวัย 45-50 ปี ควรเร่งอัปสกิลโดยมุ่งเน้นไปที่ทักษะสำคัญเหล่านี้
1. ทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยี: เช่น ทักษะการใช้งาน AI การทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล ความเข้าใจ AI และการใช้งานซอฟต์แวร์เฉพาะทาง
2. ทักษะที่ถ่ายทอดได้ (Transferable Skills): เน้นความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์เดิม เช่น การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร ภาวะผู้นำ การจัดการลูกค้าสัมพันธ์
3. การปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่: ความสามารถในการปรับตัวเป็นกุญแจสำคัญในยุคที่โลกการทำงานเปลี่ยนแปลงเร็ว
4. ทักษะการสร้างเครือข่าย (Networking): ใช้เครือข่ายเดิมและแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มอาชีพใหม่ๆ การลองเปลี่ยนสายอาชีพใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แถมอาจทำให้มีไฟในการทำงานมากขึ้น
5. การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Lifelong Learning): การฝึกอบรม การเรียนออนไลน์ หรือการเข้าอบรมระยะสั้น-ยาว เพื่อเสริมทักษะให้ทันสถานการณ์
การเปลี่ยนแปลงในโลกการทำงานกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว “เกษียณในวัย 45+” ไม่ใช่แค่แนวคิดอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่หลายคนต้องเผชิญ การเตรียมตัวและการปรับตัวด้วยการอัปสกิลอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกุญแจสำคัญในการคว้าโอกาสและรับมือกับการแข่งขันในตลาดแรงงานยุคใหม่ และทำให้อยู่รอดต่อไปได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง: เขียนไว้ให้เธอ, Australiawide, Monster, Hiddengemcareercoaching, Careerfaqs, Generation.org, Careerkarma