โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

'เอชไอวี/เอดส์รักษาได้' ฟรี ! รับยา 1-2 เดือนทำงานได้ ครบ 3 เดือนไม่แพร่เชื้อ

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

การตรวจสอบเงินบริจาคและการดำเนินงานของวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ที่มีการระบุว่านำไปใช้ดูแลผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้าย ซึ่งดำเนินการมาอย่างยาวนานนั้น ทำให้สังคมต้องหันมารับรู้และทำความเข้าใจกับ “แนวทางรักษา”และ “ระบบบริการ” เกี่ยวกับโรคนี้ใหม่

ปัจจุบันการติดเชื้อเอชไอวี หรือการป่วยโรคเอดส์ ไม่ได้เป็น “โรคร้ายที่ไร้ทางรักษา” เหมือนเมื่อ 40 ปีก่อน แต่เป็นโรคที่สามารถรักษาให้มีคุณภาพชีวิตปกติและไม่แพร่เชื้อได้ ที่สำคัญสามารถรับบริการได้ในระบบบริการสาธารณสุข โดยไม่เสียค่าใช่จ่าย ทั้งสิทธิการป้องกันจนถึงการรักษาโรค

ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) แถลงข่าว “งานเอดส์ประเทศไทย: ก้าวได้ไกล ไปใกล้ถึง”

ผศ.(พิเศษ) พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า

การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งปัจจุบันยาต้านไวรัสมีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมาก ผู้ที่รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องเพียง 3 เดือน จะไม่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีครอบครัวและมีบุตรได้ นอกจากนี้ ยังมียาต้านไวรัสสำหรับกินเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้อีกด้วย

หยุดนำเอดส์ไปแสวงหาประโยชน์

แม้จะมียาป้องกันที่มีประสิทธิภาพ แต่ปัจจุบันมีเพียง 20 %ของผู้ที่ต้องการยาเท่านั้นที่ได้รับไป ทำให้ประเทศไทยยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละประมาณ 9,000 คน เป็นตัวเลขที่ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะให้เหลือเพียง 1,000 คนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ราว 10,000 คนต่อปี

"ถ้าเราทำเต็มที่จะไม่มีผู้เสียชีวิตเลย" และผู้ติดเชื้อก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เหลือภาพความย่ำแย่ ผอม หรือถูกตีตราอีกต่อไป เพราะเอดส์สามารถรักษาได้ ไม่ต้องการให้ใครหรือธุรกิจใดนำเรื่องเอดส์ไปเป็นเครื่องมือในการหากินหรือแสวงหาประโยชน์จากผู้ป่วยอีก”พญ.จุรีรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ ระบบการดูแลของไทยมีประสิทธิภาพสูงมาก ปัจจุบันมีงบประมาณสำหรับการรักษา 5,519 ล้านบาท และงบประมาณสำหรับการป้องกัน 689 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพียงพอและระบบการดูแลของประเทศไทยยังเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

ไทยผู้ป่วยสะสมราว 5.5 แสนคน

นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยเคยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่สูงที่สุดในปี 2535 อยู่ที่ประมาณ 1.4-1.5 แสนคนต่อปี และปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 8,000 คนต่อปี

ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยโรคเอดส์สะสมอยู่ที่ 5.5 แสนคน ในจำนวนนี้มีผู้ที่รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและสามารถกดไวรัสลงมาจนถึงระดับที่ไม่แพร่เชื้อได้แล้วกว่า 4 แสนคน ทำให้มีสุขภาพดี ใช้ชีวิตปกติ และสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่แพร่เชื้อ

แต่ยังมีผู้ติดเชื้ออีกประมาณ 1.5 แสนคนที่เป็นช่องว่างที่ต้องอาศัยความเข้าใจจากสังคม เพื่อให้พวกเขากล้าแสดงตัวตนและเข้ามารับยาต้านไวรัส ซึ่งจะช่วยลดระดับไวรัสในร่างกาย สุขภาพดีขึ้น และลดการแพร่เชื้อได้

กรมควบคุมโรค ได้วางแผนเอดส์ปี 2573 คาดหวังว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อปีไม่ถึง 1,000 คน และเสียชีวิตจากเอดส์ไม่เกิน 4,000 คนต่อปี รวมถึงลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่กล้ามาตรวจและรับยา ลงไม่น้อยกว่า 10 %

สิทธิป้องกัน-ตรวจ-รักษา ฟรี

ด้านภญ.ยุพดี รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ย้ำว่า เอดส์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิดอีกต่อไป เพราะมียารักษาและควบคุมปริมาณไวรัสได้จนไม่แพร่เชื้อ ซึ่งสปสช.มีสิทธิประโยชน์ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันไปจนถึงการรักษาอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับการดูแลโรคเบาหวานและความดัน สิทธิประโยชน์เริ่มต้นจากการป้องกันการติดเชื้อในกรณีผู้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นผู้ติดเชื้อ โดยจะมียาป้องกันให้ทารกในครรภ์

บุคคลทั่วไปที่ประเมินว่าตนเองมีความเสี่ยงจากพฤติกรรมต่างๆ สปสช.มีอุปกรณ์ช่วยป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย และชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีแบบรวดเร็ว สามารถขอรับได้ฟรีที่ร้านยาทั่วไปที่เข้าร่วมระบบหลักประกันสุขภาพ คลินิกเอกชน หรือโรงพยาบาล เพื่อให้ประชาชนสามารถทราบสถานะการติดเชื้อของตนเองได้

นอกจากนี้ ยังจัดระบบบริการเชิงรุก โดยมีกลุ่มพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนเข้าไปทำงานในพื้นที่ เพื่อให้คำปรึกษา แนะนำ และชักชวนผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงให้เข้ารับการตรวจคัดกรอง หากตรวจแล้วไม่พบว่าติดเชื้อ ระบบหลักประกันก็ยังมียาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งมีการดูแลประชาชนประมาณ 2.7 หมื่นคนที่มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมหรืออาชีพให้เข้ามารับยาป้องกันนี้

ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อ สปสช.ได้จัดเตรียมงบประมาณกว่า 3,600 ล้านบาท สำหรับค่ายาให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถรับยาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และสามารถเข้ารับยาที่หน่วยบริการที่ตนเองสะดวกใจได้ ไม่จำเป็นต้องใกล้บ้าน ปัจจุบันมีผู้ที่อยู่ในระบบการดูแลนี้กว่า 4.5 แสนคน นอกจากนี้ ยังมีการคัดกรองเชื้อซิฟิลิสและไวรัสตับอักเสบฟรีทั้งหมด

รักษาถูกต้อง 3 เดือน ไม่แพร่เชื้อ

ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคเอดส์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ เป็นแล้วป่วยตาย แต่ในปัจจุบันเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้ ป้องกันได้ และสามารถยับยั้งได้ หากรักษาภายใน 36 เดือน แม้จะป่วยหนักอย่างไรก็ตาม ก็จะแข็งแรงขึ้นและกลับไปทำงานได้ภายในเดือนเดียว หากรู้แต่เนิ่นๆ ก็จะไม่ป่วยจากเอดส์ แม้ผู้ป่วยที่มีอาการมากแล้วก็ยังสามารถรักษาให้หายได้ ยกเว้นส่วนน้อยที่ทรุดโทรมมากจะเสียชีวิต

“เมื่อติดเชื้อแล้วรักษาด้วยยาต้านไวรัสภายใน 1-2 เดือน ก็กลับไปทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ไม่ได้เป็นภาระกับใครหรือครอบครัว เพราะรัฐบาลจ่ายค่ารักษาให้ เมื่อรักษาครบ 3 เดือน ผู้ติดเชื้อจะไม่สามารถแพร่เชื้อให้ใครได้เลย แม้จะจงใจแพร่เชื้อก็ตาม เพราะปริมาณเชื้อจะน้อยมาก”ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์กล่าว

ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ เน้นย้ำว่า เอดส์เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ใช่โรคติดต่อ หากกินยากดไวรัสในเลือดจนตรวจไม่พบ ก็จะไม่มีการส่งต่อเชื้อให้ใครได้อีก ปัญหาใหญ่ในปัจจุบันคือการหาผู้ติดเชื้อให้เจอ ซึ่งต้องอาศัยการตรวจเลือดที่เป็นเรื่องปกติในการตรวจสุขภาพของแต่ละบุคคล เพื่อให้ตรวจพบได้เร็วขึ้นและลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ผู้ที่ตรวจไม่พบเชื้อแต่มีความเสี่ยงก็ยังสามารถรับยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) ซึ่งมีประสิทธิภาพถึง 99.5 % เพื่อยุติปัญหาเอดส์ได้

ติดเชื้อ-มีความเสี่ยง โทร 1330 หรือ 1663

ขณะที่ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และวัณโรค กล่าวว่า แอปพลิเคชัน "เป๋าตังสุขภาพ" จะมีฟังก์ชันการป้องกันเอชไอวี โดยสามารถติ๊กเพื่อขอชุดตรวจเอชไอวี และแอปฯ จะแสดงร้านยาที่มีชุดตรวจใกล้เคียงให้จองและไปรับได้ เชื่อว่าหากทุกคนสามารถรู้สถานะการติดเชื้อของตนเองได้ ปัญหาเอดส์ก็จะยุติลง ทุกคนทุกสิทธิสามารถเข้าถึงชุดตรวจได้ฟรี และ4 กลุ่มเป้าหมายสำคัญ เพื่อร่วมกันยุติปัญหาเอดส์

1. ผู้ป่วยที่นอนในวัดหรือสถานที่ดูแลต่างๆ เช่น วัดพระบาทน้ำพุ โดยหากคุณรู้ว่าติดเชื้อเอชไอวีและไม่ได้รับการรักษา หรือกำลังอยู่ในภาวะเอดส์ระยะสุดท้าย ขอให้โทรสายด่วน 1330 หรือ 1663 ซึ่งอาสาสมัครจะช่วยประสานงานให้ได้รับการดูแลและกลับมาใช้ชีวิตได้

2. ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ควรโทรสายด่วน 1330 หรือ 1663 เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจหาเอชไอวี หรือใช้แอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ในส่วนของบริการส่งเสริมป้องกัน โดยระบบได้เตรียมชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test) ไว้ปีละ 1 ล้านชุด และมีการให้บริการตรวจในโรงพยาบาล เป้าหมายคือให้ทุกคนรู้สถานะการติดเชื้อและเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดเพื่อยุติปัญหาเอดส์ การตรวจคัดกรองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ

3. นายจ้างและฝ่ายบุคคล: ควรเข้าใจว่าการมีเชื้อเอชไอวีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และผู้ติดเชื้อสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ เพราะการมีเชื้อเอชไอวีไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน และการแพร่เชื้อไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำงาน การสร้างบรรยากาศที่เข้าใจว่าเอดส์ไม่ตาย ทำงานได้ จะช่วยดึงให้ผู้ที่ลังเลกล้ามาตรวจและเข้ารับการรักษามากขึ้น เป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่กว่าบริจาคให้วัด

4. แพทย์และพยาบาลในระบบสาธารณสุข ขอให้บุคลากรทางการแพทย์หากพบผู้ติดเชื้อให้ช่วยนำเข้าสู่การรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะจะช่วยหยุดเชื้อได้เร็วขึ้นและมีโอกาสที่ร่างกายจะฟื้นตัวกลับมาเร็วขึ้น

ไม่จำเป็นต้องมีแบบวัดพระบาทน้ำพุ

นายนิมิตร์ กล่าวด้วยว่า การหากินกับโรคเอดส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วได้เริ่มต้นโฆษณาว่าเป็นที่พักพิงของผู้ติดเชื้อระยะสุดท้าย ทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่าผู้ติดเชื้อจะต้องไปเสียชีวิตที่นั่น ซึ่งวัดพระบาทน้ำพุเป็นตัวอย่างของการได้รับอานิสงส์จากการโฆษณาที่ขู่ให้กลัว ทำให้คนกลัวสุดใจ ครอบครัวไม่พร้อมดูแล และวัดจึงกลายเป็นที่พึ่ง

“ต้องหยุดแนวทางการขู่ให้กลัว และสร้างความเข้าใจว่าเอดส์สามารถรักษาได้ ไม่ควรตกเป็นเหยื่อการโฆษณาให้กลัวอีกต่อไป แม้จะยังคงมีสถานที่ดูแลชั่วคราวสำหรับผู้ที่รู้ช้าและเข้าสู่การรักษาเมื่อป่วย ซึ่งบ้านยังไม่พร้อมดูแล แต่เมื่อดีขึ้นแล้วก็สามารถกลับคืนสู่สังคมได้ ไม่จำเป็นต้องมีวัดในลักษณะนี้อีกต่อไปแล้ว”นายนิมิตร์กล่าว

ท้ายที่สุดนางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ย้ำว่า ปัจจุบันการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยมีความก้าวหน้าและดีขึ้นอย่างมาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงมีปัญหาเรื่องการตีตราอยู่มาก ทำให้ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เสี่ยงไม่กล้าเข้ามาในระบบการตรวจและรักษา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างบรรยากาศในสังคมที่ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกปลอดภัย จะได้กล้าเข้าสู่ระบบการตรวจหาเชื้อเพื่อให้รู้สถานะ หากมีการติดเชื้อ ก็จะได้เข้ารับการรักษาที่ดี มีชีวิตที่ดี และไม่แพร่เชื้อต่อผู้อื่นได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

เปิดเบื้องลึก 'อีวีจีน' รุกหนักอาเซียน ตั้งราคาได้ กำไรดี แม้ทำ 'สงครามราคา'

41 นาทีที่แล้ว

'2อาจารย์' โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ชิงเก้าอี้ ตุลาการศาลรธน.

41 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...