กสทช. เคาะ 8 มาตรการตาม พ.ร.ก.ไซเบอร์ สกัดอาชญากรรมออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ ( 30 มิ.ย. 68) ที่ประชุม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติเห็นชอบมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรา 4/1 วรรคหนึ่ง เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ตามมาตรา 8/10 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่คณะอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ พิจารณาเสนอ
พล.ต.อ. ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า กสทช. ได้กำหนดมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. ถือปฏิบัติเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย 8 มาตราการ ดังนี้
1.ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องตรวจสอบคัดกรองผู้ใช้บริการที่มีลักษณะที่ผิดปกติ เพื่อพิจารณาระงับการใช้ทันทีโดยพิจารณาจากปัจจัย ดังนี้ 1.) จำนวนครั้งที่โทรออก 2.) พื้นที่การโทร 3.) ข้อมูลลูกค้า 4.) อุปกรณ์ที่ใช้ในการโทรออก (SIM BOX) โดยสำนักงาน กสทช. ร่วมกับผู้ให้บริการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการคัดกรองดังกล่าว
2.ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องระงับบริการโทรคมนาคมนับแต่วันที่ผู้ให้บริการได้รับการแจ้งจากสำนักงาน กสทช. ว่าบริการดังกล่าวได้รับการแจ้งว่าต้องสงสัย ดังนี้ 1.) บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ผู้ให้บริการจะต้องระงับการให้บริการทันที ภายใน 24 ชั่วโมง 2.) บริการโทรคมนาคมอื่น ให้ผู้ให้บริการระงับการให้บริการทันที ภายใน 3 วัน
3.ผู้ให้บริการมีหน้าที่จัดการให้การลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้งานใหม่ให้เป็นไปตามประกาศ กสทช. เรื่อง การลงทะเบียนและการจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภายใน 7 วัน รายละเอียด ดังนี้
- กรณีข้อมูลที่ลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 จนถึงวันที่มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ตรวจสอบเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงทะเบียนผู้ใช้บริการแล้วให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศมาตรการ
- กรณีข้อมูลที่ลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ก่อนปี 2567 ผู้ให้บริการมีหน้าที่ตรวจสอบเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงทะเบียนผู้ใช้บริการแล้ว ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับถัดจากวันที่ประกาศมาตรการ
4.บริการการส่ง SMS แบบ Application-to-Person (A2P) หรือการส่งข้อความจากแอปพลิเคชันถึงบุคคลทั่วไปต้องลงทะเบียนผู้ส่ง (Sender Name) กับผู้ให้บริการก่อนส่งข้อความ กรณีการส่งข้อความที่แนบลิงก์ ผู้ให้บริการต้องตรวจสอบความถูกต้องของลิงก์ที่ใช้แนบทุกครั้งก่อนส่งข้อความสั้นไปยังผู้รับบริการ
5.ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจำกัดการลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบุคคลต่างชาติไม่เกิน 3 เลขหมาย/คน/ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกำหนดให้ใช้หนังสือเดินทาง (Passport) ในการยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่
6.ผู้ให้บริการมีหน้าที่ ต้องจำกัดระยะเวลาการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือ Tourist SIM ไม่เกิน 60 วัน โดยไม่สามารถเติมเงินเพื่อขยายระยะเวลาการใช้งานได้ และกรณีผู้ใช้บริการประสงค์ใช้งาน Tourist SIM ต่อเนื่อง ภายหลังครบกำหนดระยะเวลาใช้งาน จะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนกับผู้ให้บริการอีกครั้งหนึ่งก่อน จึงจะขยายระยะเวลาการใช้งานได้
7.ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ต้องห้ามมิให้เครื่องวิทยุคมนาคมลูกข่ายในโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทซิมบ๊อกซ์ (SIM BOX) หรือประเภทเกตเวย์ (Gateway) ที่รองรับจำนวนซิม (SIM) ตั้งแต่ 4 ซิมขึ้นไปและไม่ได้รับการลงทะเบียนใช้งานกับสำนักงาน กสทช. เชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมของผู้ให้บริการ
และ 8. ผู้ให้บริการต้องเติมเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แจ้งเตือนผู้ใช้บริการทราบถึงทราฟฟิกที่รับจากต่างประเทศ และมีระบบปฏิเสธไม่รับสายจากต่างประเทศ อาทิ การเติม +697 +698 หน้าเลขหมายที่มาจากต่างประเทศ
พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า การกำหนดมาตรการดังกล่าว มีผลให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง มีส่วนต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าผู้ให้บริการได้ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการที่ กสทช. กำหนดตามมาตรา 8/10 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว คือการเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรคมนาคมต่างๆ ในการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตลอดจนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการส่งข้อมูลที่จำเป็น และป้องกันความสูญเสียจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น