“ฮุน มาเนต” วิจารณ์ความสับสนฝ่ายไทย ทำกัมพูชาติดขัดเจรจาชายแดน
วันนี้ (1 ก.ค. 68) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงสถานการณ์การปิดชายแดนกับไทย โดยวิจารณ์ถึงความไม่ชัดเจนและความไม่สอดคล้องกันจากฝ่ายไทย ซึ่งทำให้กัมพูชาประสบปัญหาในการหาผู้ที่เหมาะสมสำหรับการสื่อสารและประสานงานด้วย
ฮุน มาเนต ระบุว่า กรณีจดหมายจากทางการไทย ลงวันที่ 29 มิ.ย. 68 ซึ่งได้รับโดยเจ้าหน้าที่กัมพูชาในจังหวัดสระแก้ว จดหมายฉบับดังกล่าวร้องขอให้เปิดด่านชายแดนบางจุดระหว่างกัมพูชา-ไทย และอนุญาตให้ขนส่งสินค้าบรรเทาผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จดหมายฉบับเดียวกันนี้ กลับทำให้ตัวแทนไทยถึง 4 คนจากฝ่ายทหารและการเมืองออกมาให้คำอธิบายที่ขัดแย้งกัน
“เราจะเปิดชายแดนได้อย่างไรในเมื่อเราไม่รู้เลยว่าจะติดต่อกับใคร? แค่จดหมายฉบับเดียวแต่กลับมีเสียงขัดแย้งกันถึง 4 เสียง?” ฮุน มาเนต กล่าว
พร้อมเน้นย้ำว่า “เราจะดำเนินการอย่างไร เมื่อจดหมายฉบับเดียวกลับกลายเป็นคำชี้แจงที่ขัดแย้งกันถึงสี่ครั้ง? ทันทีที่ได้รับเรื่อง ผมได้ชี้แจงจุดยืนผ่านเฟซบุ๊กอย่างชัดเจนว่ากุญแจสำคัญอยู่ที่ฝ่ายไทย จากนั้นโฆษกทหารไทยบอกว่าเป็นแค่การหารือภายใน และจะติดต่อกัมพูชาเพื่อเปิดชายแดนชั่วคราวสำหรับขนส่งสินค้า แต่เมื่อกัมพูชาปฏิเสธ กลับถูกกล่าวโทษ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยปฏิเสธว่าจดหมายดังกล่าวไม่เคยส่งถึงกัมพูชาเลย คืนนั้นแหล่งข่าวอีกแห่งกล่าวว่าจดหมายนั้นเป็นของปลอม ก่อนที่เจ้าหน้าที่อีกคนในวันถัดมาจะยืนยันว่าจดหมายนั้นจริง แต่รั่วไหลออกมา จดหมายฉบับเดียวกับคำตอบที่ต่างกันสี่แบบ กัมพูชาควรเชื่อหรือปฏิบัติตามอย่างไร?”
นอกจากนี้ ฮุน มาเนต ยังกล่าวถึงข้อกล่าวหาของสื่อไทยที่ระบุว่ากัมพูชาไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม โดยปฏิเสธไม่ให้รถบรรทุกไทยที่ติดอยู่ในดินแดนกัมพูชาก่อนวันที่ 23 มิ.ย. 68 ผ่านเข้าไปได้ และขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่กัมพูชาได้ยืนยันแล้วว่าไม่มีรถบรรทุกไทยติดอยู่บนดินแดนกัมพูชา
ฮุน มาเนต ยืนยันอีกครั้งว่า การปิดชายแดนนั้นไม่ได้เริ่มต้นโดยกัมพูชา แต่เป็นฝ่ายไทยที่ดำเนินการฝ่ายเดียว กัมพูชาสามารถยกระดับปัญหานี้ได้แต่เลือกที่จะไม่ทำ หากไทยต้องการกลับไปดำเนินการชายแดนตามปกติ จะต้องคืนสภาพก่อนวันที่ 7 มิ.ย.นี้ และกัมพูชาจะเปิดชายแดนภายใน 5 ชั่วโมง และย้ำว่า กัมพูชายังคงรอที่จะเจรจากับหน่วยงานที่ถูกต้องตามกฎหมายในไทย ซึ่งมีอำนาจจริงในการแก้ไขปัญหา